เผยแพร่ |
---|
“หมอวรงค์” มาแล้ว! ร้องกกต.สอบ “ทักษิณ” ครอบงำเพื่อไทย ส่งศาลรธน.ยุบพรรค ยัน ไม่ใช่ผู้ร่วมขบวนการนิติสงคราม ลั่นไม่ได้รับเงินใคร
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 11 ก.ย. 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี เข้ายื่นคำร้องต่อกกต. ขอให้ตรวจสอบ 2 ประเด็นที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครอบงำพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 29 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 และ 2.พรรคเพื่อไทยยอมให้คนที่ไม่ใช้สมาชิกพรรคครอบงำ ชี้นำ ตามมาตรา 28 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560
นพ.วรงค์ กล่าวว่า ที่ตนต้องมาร้องเรื่องนี้ เพราะมองว่าการครอบงำเป็นปัญหาใหญ่ของการเมืองไทย คนครอบงำมีการไปติดต่อ เจรจา มีผลประโยชน์อะไร ประชาชนไม่รู้ จึงเห็นว่าต้องร้องต่อกกต. เพื่อส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคเพื่อไทย เพื่อเป็นการปกป้องประโยชน์ของประชาชน และระบบกฎหมาย
โดยมี 3 ประเด็นที่นำสู่การร้องเรียน คือ 1.นายทักษิณเชิญแกนนำพรรคเพื่อไทย รวมถึงนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทย และพรรคร่วม มาเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ในวันที่ 14 ส.ค. หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ สิ้นสุดลง
โดยสื่อนำเสนอข่าวว่าได้ข้อสรุปการหารือว่าจะเสนอชื่อนายชัยเกษมเป็นนายกฯ แม้วันที่ 15 ก.ย. จะมีการประชุมของพรรคเพื่อไทยและมีการเปลี่ยนตัวว่าที่นายกฯ เป็นน.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่ถือว่าการกระทำของวันที่ 14 ส.ค.สำเร็จไปแล้ว โดยนายทักษิณ ซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเข้ามาครอบคลุม ครอบงำ ชี้นำพรรคเพื่อไทย
2.เหตุการณ์วันที่ 20 ส.ค. นายทักษิณให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อตอบคำถามว่า จะให้น.ส.แพทองธารควบตำแหน่งรมว.กลาโหมหรือไม่ว่า เป็นเรื่องที่หนักเกินไป แม้น.ส.แพทองธารจะเป็นบุตรสาว แต่ก็เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งการพูดลักษณะนี้เท่ากับเป็นการชี้นำหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
อีกทั้งสื่อได้ถามต่อว่า พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการครอบงำหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่าไม่ใช่ “ครอบงำ” แต่เป็นการ “ครอบครอง” ซึ่งแม้จะเป็นการพูดเล่น แต่คำนี้หนักกว่าการ “ครอบงำ” เพราะคำว่าครอบงำคือมีอิทธิพลเหนือกว่า ให้คนอื่นปฏิบัติตาม แต่ครอบครองคือมีสิทธิเป็นเจ้าของ
สังคมอาจมองว่า น.ส.แพทองธาร เป็นลูกสาว นายทักษิณเป็นบิดาก็สามารถให้คำปรึกษาได้ ซึ่งตนก็เห็นด้วย แต่ต้องเป็นการให้คำปรึกษาที่บ้าน ไม่ใช่มาแสดงออกผ่านสาธารณะ แบบนี้บ่งบอกชัดเจนว่า นายทักษิณคือหัวหน้าพรรค ดังนั้น การที่นายทักษิณมีพฤติการณ์ชี้นำ ครอบงำ ควบคุม จึงเข้าข่ายผิดกฎหมาย
3.การที่ให้สัมภาษณ์ว่าจะเอาพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาล ซึ่งนายทักษิณตอบสื่อชัดเจนว่า ต้องการเสียงที่เพียงพอต่อการผ่านกฎหมาย สุดท้ายก็เอาพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาล โดยนายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค เป็นผู้ส่งหนังสือเชิญ พฤติกรรมนี้เท่ากับว่านายทักษิณชี้นำการจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ
นอกจากนี้ยังมีกรณีปัญหาการร่วมรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐที่มีความขัดแย้งระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งนายทักษิณก็ชี้ว่า จะเอากลุ่มไหนมาร่วมรัฐบาล สุดท้ายเป็นไปตามที่นายทักษิณชี้ว่าจะเอากลุ่มร.อ.ธรรมนัส มาร่วมรัฐบาล
“3 เหตุผลนี้หากปล่อยให้มีการชี้นำ ครอบงำ จะเกิดอันตรายกับประเทศ พฤติกรรมสองอย่างนี้ไปด้วยกัน เหตุการณ์หนึ่งที่พรรคการเมืองยอมให้คนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคมามีพฤติกรรมแบบนี้ พรรคการเมืองก็มีความผิด และนำไปสู่การยุบพรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญ และเหตุการณ์นี้ผู้ใดที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ก็เป็นความผิดตามมาตรา 29 เราจึงร้องร่วมในเหตุผลที่เกี่ยวเนื่องกันต่อกกต.” นพ.วรงค์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีการร้องเหตุการณ์ที่พรรคร่วมรัฐบาลเข้าไปพบนายทักษิณที่บ้านจันทร์ส่องหล้า คิดว่ากกต.จะนำคำร้องของนพ.วรงค์ไปรวมด้วยหรือไม่ นพ.วรงค์ กล่าวว่า คนละส่วนกัน ตนร้องพรรคเพื่อไทยกับนายทักษิณ แต่คำร้องนั้นเป็นการร้องพรรคร่วม 6 พรรค
ส่วนตัวมองว่าพรรคร่วมมีสิทธิเจรจากับใครก็ได้ เชื่อว่าเขาไม่ได้ถูกครอบงำ แต่ต้องอิงบนผลประโยชน์ของเขา ใครมาเจรจาก็ต้องมาปรึกษาหารือว่า อันไหนได้ประโยชน์สูงสุด จึงเป็นการเจรจาต่อรองธรรมดา แต่พรรคเพื่อไทยมีการปฏิบัติตามสิ่งที่นายทักษิณพูดเกือบทั้งหมด เราจึงร้องเฉพาะเรื่องนายทักษิณกับพรรคเพื่อไทย
เมื่อถามว่าการร้องครั้งนี้อาจทำให้ถูกมองว่าอยู่ร่วมขบวนการใช้นิติสงครามเพื่อทำลายรัฐบาล นพ.วรงค์ กล่าวว่า คำว่านิติสงครามเป็นคำที่ยกขึ้นมาเพื่อโจมตีคนที่มาร้องเรียน ตนอยากถามกลับคนที่ใช้คำนี้ว่า คุณเป็นนักประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะหลักใหญ่ประชาธิปไตยมี 3 ข้อ คือ เรื่องสิทธิเสรีภาพ เรื่องการเลือกตั้ง แต่ข้อที่สามที่เป็นกระบวนการสำคัญคือการตรวจสอบและถ่วงดุล
ดังนั้น กระบวนการประชาธิปไตยต้องน้อมรับการตรวจสอบและถ่วงดุล การโจมตีคนที่มาร้องเรียนว่าใช้นิติสงครามนั้น เท่ากับไม่ยอมรับการตรวจสอบและถ่วงดุล ไม่อยากให้ประชาชนหลงประเด็น เพราะคนพวกนี้กลัวการตรวจสอบถ่วงดุล ซึ่งเป็นเสน่ห์ของประชาธิปไตยที่คนได้ประโยชน์คือประชาชน เพราะนักการเมืองจะระมัดระวังตัวในการที่จะทำอะไร
“คำว่านิติสงครามจึงเป็นวาทกรรมของคนที่กลัวการถูกตรวจสอบ แต่ปากอ้างว่าตัวเองคือนักประชาธิปไตย ซึ่งพวกนี้คือของปลอม บอกว่าคนร้องรับเงินก็ขอให้บอกเลยว่าใครรับเงิน ลองบอกว่าหมอวรงค์รับเงินผมจะฟ้อง อย่าพูดลอยๆ ตีกิน ด้อยค่าคนอื่น แน่จริงระบุชื่อหมอวรงค์รับเงิน ไม่ต้องระบุว่ารับเงินใครมาก็ได้ แต่แค่บอกว่าผมรับเงินเท่าไหร่ผมฟ้องคุณแน่
คนอย่างผมไม่มี ถ้ารับรวยไปแล้วตั้งแต่โครงการรับจำนำข้าว 9.4 แสนล้านบาท ผมรับเล็กๆ น้อยๆ สัก 500 ล้าน หรือพันล้าน ซึ่งมีคนเจรจาด้วย ผมยังไม่รับเลย นับประสาอะไรมาบอกว่าคดีละสองแสน กระจอกเกินไป” นพ.วรงค์ กล่าว
เมื่อถามว่าการกลับมาของนายทักษิณจะเป็นการฟื้นระบอบทักษิณหรือไม่ นพ.วรงค์ กล่าวว่า ก็เกิดขึ้นจริง เพราะระบอบทักษิณที่เราจำกัดความไว้ คือการใช้อำนาจไม่ชอบ นำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชั่น ตอนแรกที่นายทักษิณกลับมา ตนให้อภัย เพราะเห็นว่าเขาคงมีสำนึก และตนได้อ่านพระบรมราชโองการระบุว่า ยอมรับผิด สำนึกผิด พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งตนโอเคมาก พร้อมให้อภัย แต่พอดูไปแล้วมันไม่ใช่
นายทักษิณกล่าวหาว่า ถูกยัดข้อหา และไปปาฐกถาว่า โดนหมั่นไส้ต้องไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี สะท้อนว่านายทักษิณไม่ได้สำนึกผิด ดังนั้น ตนมองว่า สังคมให้โอกาสนายทักษิณแล้ว แต่นายทักษิณไม่รับโอกาสนี้ เหมือนกับการที่ไม่ยอมอยู่ชั้น 14 และมีพฤติกรรมที่ทำให้คนสงสัยว่ามีการครอบงำ เท่ากับกำลังรื้อฟื้นระบอบทักษิณขึ้นมา
หลังๆ มีคนใช้คำว่า ระบอบชินวัตรแล้ว เพราะมันหนักกว่าตัวนายทักษิณ ดังนั้น ถ้านายทักษิณคิดดีต่อชาติบ้านเมืองจริงก็ขอให้เคารพกฎหมาย เคารพรัฐธรรมนูญ เราให้อภัยคุณได้ แต่ถ้าท้าทายกฎหมายก็ช่วยไม่ได้ เพราะประชาธิปไตยคือการตรวจสอบ ถ่วงดุล ดังนั้น นายทักษิณคือผู้รื้อฟื้นระบอบทักษิณและแปลงร่างไปเป็นระบอบชินวัตร
เมื่อถามว่าการร้องวันนี้จะมีน้ำหนักและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นพ.วรงค์ กล่าวว่า ตนมองเป็น 2 กรณี เรียกร้องกกต. คือ องค์กรอิสระที่เป็นหัวใจสำคัญที่สร้างสมดุลระบอบประชาธิไตย ถ้ากกต.ทำเต็มที่ ซึ่งมีช่องทางให้กกต.เร่งตรวจสอบได้เยอะ ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็ว คิดว่าบ้านเมืองดีขึ้นแน่นอน
การที่เราร้องเรียนเป็นการกระตุกให้คนที่คิดทำไม่ดีกับบ้านเมืองระวังมากขึ้น ประชาชนก็จะได้ประโยชน์ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการร้องไปเรื่อย ตนเพิ่งร้องนายทักษิณกรณีชั้น 14 เท่านั้น ซึ่งต้องถามว่าไม่ควรร้องอย่างนั้นหรือ ตนไม่ใช่คนเลอะเทอะ แต่ทำแบบมีหลักเกณฑ์ มีข้อมูลหลักฐาน ทำเรื่องใหญ่ เรื่องเล็กไม่ทำ