เผยแพร่ |
---|
24 ก.พ.67 พลโทภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)กล่าวว่ายังคงมีความพยายามต่อเนื่องให้ประชาชนลืมเรื่องหนี้สะสม10ล้านๆบาท ที่เกิดจากน้ำมือรัฐบาลสืบทอดอำนาจครองเมือง9ปีที่ผ่านมา พาประเทศสู่วิกฤติ บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการฝ่ายเศรษฐกิจและองค์กรอิสระฝ่ายตรวจสอบในปัจจุบันก็คือคนเดิมๆในยุครัฐบาลสืบทอดอำนาจ แต่ในยุคนั้นกลับนิ่งเฉยไม่ช่วยห้ามปรามการสร้างหนี้ดังกล่าว พอกลุ่มอำนาจเก่าพ่ายการเลือกตั้ง จึงใช้กลศึกดีลลับบังคับพรรคการเมืองไปจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วแทนที่รัฐบาลตามเจตนารมณ์ของประชาชน แต่การข้ามขั้วแท้จริงแล้วมันข้ามไปเฉพาะชนชั้นนำ ประชาชนผู้สนับสนุนเขาไม่ได้ข้ามไปด้วย เราจึงได้เห็นแต่ข่าวนักการเมืองเจ้านายกับบ่าวสื่อกันเองไปมา มิใช่มิตรร่วมรบ ไม่ใยดีสื่อสารกับประชาชน
ขณะเดียวกันฝ่ายอำนาจเก่ากลัวถูกเช็คบิลย้อนหลัง จึงต้องมีมาตรการควบคุมไม่ให้เกิดการเบี้ยวดีล โดยบีบสร้างรัฐบาลข้ามขั้วแต่ไม่ให้มีงบประมาณใช้ กุมงานด้านความมั่นคงไว้ในมือ ดึงคดีความของนายใหญ่พรรคแกนนำรัฐบาลให้ค้างเติ่ง และท้ายสุดคือจะเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีให้เป็นคนของฝ่ายอำนาจเก่า โดยอาศัยมือของวุฒิสมาชิกโหวตเลือกนายกฯใหม่ก่อนที่จะหมดอำนาจ แต่ท่าจะเหลว เพราะพรรคการเมืองชนะเลือกตั้งลำดับ1และ2พลิกตัวกลับมาไตร่ตรองลุ่มลึกตระหนักเห็นพ้องว่าภูมิคุ้มกันที่ทรงประสิทธิภาพของพวกตน คือการเคารพเสียงประชาชน24ล้านเสียงที่เลือกส.ส.ของสองพรรค ให้เข้ามาดำเนินการตามเจตนารมณ์สูงสุดคือ”การทวงคืนความยุติธรรม” มันจึงประจักษ์ชัดว่าประชาชน24ล้านเสียงได้สร้างสองพรรคการเมืองดังกล่าวให้มีความชอบธรรมสูงสุดเข้ามาใช้อำนาจบริหารและนิติบัญญัตทวงคืนความยุติธรรม ล้างมลทิน ให้กับทุกฝ่ายของสังคมไทยอย่างเสมอภาค และนี่คือหนทางปฎิบัติเดียวที่จะนำพาสังคมไทยสู่ภราดรภาพอย่างยั่งยืน