โฆษก กห.เผยอนุฯ ปฏิรูปความมั่นคง ถกยกเครื่องระบบ ‘ข่าวกรอง-ฐานข้อมูลความมั่นคง-ทหาร-ตร.’

 

เมื่อวันที่ 4 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำกระทรวงกลาโหม (กห.) เปิดเผยภายหลังการประชุมอนุกรรมการปฏิรูประบบความมั่นคงที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ กห.เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงเรื่องปฏิรูประบบข่าวกรอง ปฏิรูประบบฐานข้อมูลความมั่นคง การปฏิรูป กห.และการปฏิรูปตำรวจ ซึ่งการปฏิรูปงานข่าวถือเป็นหัวใจสำคัญของงานความมั่นคง โดยมีสำนักงานข่าวกรองเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบเรื่องดังกล่าว โดย พล.อ.ประวิตรได้เน้นย้ำให้จำแนกความสำคัญเรื่องเร่งด่วนของความมั่นคงมา 3 ระดับ ได้แก่ 1.ระดับภัยคุกคาม 2.ความเสี่ยง และ 3.เรื่องความท้าทายความมั่นคง ซึ่งปัจจุบันเราได้จำแนกทั้ง 3 เรื่องมาแล้ว ทำให้สามารถทำงานได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ ยังมีการปรับปรุงด้านงานข่าวกรองให้มีความเข้มแข็งขึ้น มีความชัดเจน และน่าเชื่อถือ ทำให้ทำงานได้ง่ายขึ้น โดยการปฏิรูปงานข่าวกรอง เราได้พัฒนา โดยจัดหาเครื่องมือ พัฒนาทักษะ มีการเชื่อมต่อฐานข้อมูลด้านการข่าวในการสืบสวนขยายผล ด้านการต่างประเทศ ได้เชื่อมข้อมูลกับกระทรวงการต่างประเทศในสถานทูตประเทศต่างๆ มากขึ้น ส่วนเรื่องการบูรณาการข่าวเชิงลึกระดับพื้นที่ โดยจัดตั้งศูนย์ประสานงานหน่วยข่าวกรองใน 5 ภูมิภาค และทำงานขยายผลร่วมกัน ต่อไปนี้งานการข่าวจะรวดเร็ว แม่นยำ น่าเชื่อถือมากขึ้น นำไปสู่การสกัดกั้นการเคลื่อนไหว หรือระงับภัยที่อาจเกิดแก่ประชาชน

พล.ท.คงชีพกล่าวต่อว่า สำหรับการปฏิรูปความมั่นคง ซึ่งมีสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นเจ้าภาพ ปัจจุบันได้จัดทำฐานข้อมูลในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการบูรณาการฐานข้อมูลกลางโดย กอ.รมน.ภาค 4 นำไปสู่เรื่องการจัดทำระบบแจ้งเตือนข่าวสาร และบริหารระบบข้อมูล คาดว่าในเดือนกันยายน 2561 จะแล้วเสร็จ นอกจากนี้ ยังเปิดช่องทางให้ประชาชนได้แจ้ง และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารให้กับหน่วยงานความมั่นคงผ่านเว็บไซต์ ส่วนการเชื่อมฐานข้อมูลด้านความมั่นคงนั้น ปัจจุบันมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับ สมช.โดยจะเชื่อมฐานข้อมูลของหน่วยงานด้านความมั่นคงทั้ง 27 หน่วยงาน เพื่อใช้ในการพัฒนาฐานข้อมูลด้านความมั่นคงมากขึ้น จัดตั้งฐานข้อมูลเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของบุคคลแห่งชาติ ซึ่งเป็นเรื่องอัตลักษณ์ที่จะต้องสแกนข้อมูลเข้ามาเพื่อใช้ควบคู่กับงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ ส่วนงานด้านปฏิรูป กห.เป็นการจัดทำแผนแม่บทปฏิรูปฐานระบบของกระทรวงปี 2660-2569 และแผนพัฒนาขีดความสามารถของ กห.2560-2569 ทางกระทรวงได้ปรับปรุงพัฒนากำลังรบ และปฏิรูป กห.ที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศปี 2560-2579 เรื่องการจัดทำแผนแม่บทปฏิรูปฐานระบบของกระทรวงปี 2660-2569 เป้าหมายเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และเรื่องของความพร้อมด้านกำลังพล ยุทโธปกรณ์ รวมทั้ง หลักนิยม และการศึกษา เรื่องการพัฒนาแผนขีดความสามารถการปฏิบัติภารกิจ และการสนับสนุนการแก้ปัญหารัฐบาลในมิติต่างๆ โดยมีกรอบแรกเป็นระยะ 5 ปี การพัฒนาและส่งเสริมการพร้อมรบ และในระยะที่สอง จะมุ่งไปสู่การคล่องตัวความทันสมัย และการปฏิบัติภารกิจได้ทุกมิติ

“การดำเนินการหลักๆ ของการจัดทำแผนแม่บทนั้นมี 3 ส่วน คือ การปฏิรูปการจัดการ กห.โดยดำเนินการทั้ง 17 ระบบงาน ซึ่งขณะนี้กำลังแก้ไขปรับปรุงคำสั่งข้อบังคับ และออกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส่วนเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างอยู่ระหว่างการปรับเล็กให้สอดคล้องกับการทำงานปัจจุบันที่ในอนาคต 5 ปี จะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ เรื่องการประเมินผลการดำเนินการตามเป้าหมายที่กำลังดำเนินการในเรื่องหลักๆ การลดอัตรากำลังพล ซึ่งปัจจุบันลดอัตรากำลังพลภาพรวมได้ 774 อัตรา และลดงบประมาณที่ใช้จ่ายได้ 47 ล้านบาทต่อปี โดยได้นำกำลังพลสำรองมาบรรจุแทนกำลังพลที่ขาด ใช้ข้าราชการพลเรือน กห.มาปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้ง นำอาสาสมัครมาปฏิบัติงานหลักมากขึ้น และเรื่องแผนพัฒนาขีดความสามารถของ กห.2560-2569 ใช้เป็นพื้นฐานในการเสริมความพร้อมรบในทางอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งระยะยาว และระยะสั้น โดยใช้เป็นฐานของการเสนอความต้องการงบ และจัดความเร่งด่วนของงาน” พล.ท.คงชีพ กล่าว

พล.ท.คงชีพกล่าวอีกว่า การปฏิรูปตำรวจ เราได้จัดทำเป็น 2 ส่วน คือ การปฏิรูประบบงานตำรวจ 6 ด้าน ตามมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) และการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ โดยกรอบการพัฒนาบุคลากรตำรวจ ให้ความสำคัญกับการสอบนักเรียนนายสิบให้มาบรรจุมากขึ้น และงานโครงสร้างในสายงานที่จะให้เติบโตทั้งงานด้านปราบปราม สอบสวน สืบสวน และอำนวยการ ปรับ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติให้มีความเชื่อมโยงกับกระบวนการยุติธรรม ทั้งกำหนดให้มีตำรวจกองประจำการ โดยการเลือกบุคลากรเข้ามาทำหน้าที่ตามกฎหมาย โดยใช้กฎหมายว่าด้วยการทหาร การผลิตข้าราชการตำรวจตามหลักการบรรจุ และปรับกิจการของตำรวจให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ส่วนเรื่องงานสอบสวนพิสูจน์หลักฐานนั้น ได้เพิ่มการทำงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ เพิ่มกำลังพล เครื่องมือ ทั้งนี้ จะเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งต่อไปนี้ตำรวจจะต้องทำงานหน้ากล้อง คือรถ และตัวตำรวจเองจะมีกล้องติดประจำตัวเพื่อความโปร่งใส อีกทั้ง งานเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพิสูจน์บุคคลจะได้ปรุงระบบคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาตำรวจตามแนวของ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจนั้น ยืนยันตำรวจยังขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี