เผยแพร่ |
---|
เด่นชัดอย่างยิ่งว่า การปรับครม.”ประยุทธ์ 5″ ก็เพื่อชูบทบาทของ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ให้สูงเด่น
เห็นจากการโยก พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ออก
เห็นจากการผลักดัน นายกฤษฎา บุญราช เข้าไปแทนที่โดยมี รัฐมนตรีช่วยว่าการถึง 2 คน
โดยทั้ง 3 คนต่อสายตรงกับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
อย่าได้แปลกใจหากพรรคประชาธิปัตย์จะพุ่งเป้าเข้าใส่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อย่างหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น
เพราะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เท่ากับเป็น”ตัวแทน”
หากแนวทางในทางเศรษฐกิจของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประสบความสำเร็จเท่ากับเป็นความสำเร็จของพรรคคสช.
“พรรคประชารัฐ” จึงได้ถูก”อุปโลกน์”ขึ้น
หากมองการเคลื่อนไหวของ 1 คสช. และ 1 พรรคประชาธิปัตย์ ก็จะเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น
คสช.ถือเอา 1 ปีที่เหลือคือประเด็น”เศรษฐกิจ”
หากแนวทางของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประสบความสำ เร็จ ก็เท่ากับเป็นหลักประกันความพร้อมให้กับคสช.ในการปลดล็อก
จากนั้น ก็เดินเข้าสู่”โหมด”การเลือกตั้งอย่างมั่นใจ
ขณะเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ก็ถือเอา นายสมคิด จาตุศรี พิทักษ์ เป็นเป้าใหญ่ในทางการเมือง
“อดีต”ของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะถูกขุดคุ้ย มีความเป็นไปได้ที่จะนำ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ไปวางเรียงเคียงข้างกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
โดยมี”ประชารัฐ” เป็น”ตำบลกระสุนตก”
เป็นไปได้ว่าการกระหน่ำเข้าใส่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะเป็นอาหารอันโอชะให้กับพรรคประชาธิปัตย์
เพราะเคยเป็นคนของ”ไทยรักไทย”มาก่อน
เพราะเคยมีส่วนในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับสิ่งที่พรรค ประชาธิปัตย์เรียกว่า “ระบอบทักษิณ”
จึงเท่ากับการตี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เหมือนกับการใช้กระสุน 1 นัด แต่ได้ทั้ง “พรรคประชารัฐ” และ “พรรคประชานิยม”
เพราะ”ประชารัฐ”หายใจร่วมรูจมูกเดียวกันกับ”ประชานิยม”
เป้าหมายจึงย้ายไปยัง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์