สนช.ถกเดือด กม.ป.ป.ช.ส่อแววไร้ข้อยุติ หวั่นถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม  ที่รัฐสภา มีการประชุมนิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช.คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต(ป.ป.ช.)พ.ศ….

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการอภิปรายวาระ 2 กมธ.เสียงข้างน้อยและสมาชิกสนช.หลายคนอภิปรายท้วงติงอย่างหนักในมาตรา 37/1 เรื่องการให้อำนาจป.ป.ช.สืบค้นข้อมูลโดยการดักฟังข้อมูลทางโทรศัพท์และอุปกรณ์อิเลกทรอนิคส์ต่างๆได้ โดยเป็นห่วงว่า เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา36 ขอให้กมธ.ตัดมาตรา37/1ทิ้ง อาทิ นายวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการป.ป.ช.อภิปรายว่า การใช้อำนาจเกินขอบเขต เรียกร้องมากเกินไป อาจทำให้องค์กรสั่นสะเทือนได้ ยิ่งหากหลักฐานที่ได้มาไม่บริสุทธิ์ จะเป็นสิ่งที่ทิ่มตำทำลายผู้ที่นำหลักฐานนั้นมาใช้เอง เป็นห่วงว่า หากข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีหลุดออกไปอาจเป็นเครื่องมือนำไปใช้แบล็กเมย์ทางการเมืองกันได้ เป็นเรื่องที่ต้องระวัง ประเด็นนี้อ่อนไหวที่สุด ไม่ควรนำมาใส่เลย และต้องฟังเสียงประชาชนให้รอบด้าน ถ้าป.ป.ช.เป็นองค์กรที่น่าเคารพศรัทธา ข้อมูลจะหลั่งไหลมาเอง เป็นการได้ข้อมูลทางลัด ทั้งนี้การใช้มาตรา37/1 เพื่อให้ได้ข้อมูลทางลับเป็นสิ่งต้องพึงระวัง ไม่รู้ว่าข้อมูลที่ได้ว่า ศาลจะเชื่อหรือไม่ อาจทำให้ศาลกระอักกระอ่วนเพราะป.ป.ช.เป็นองค์กรกึ่งตุลาการ รู้สึกไม่สบายใจ แต่เชื่อว่า สนช.จะพิจารณากฎหมายด้วยความรอบคอบ ให้ประชาชนสบายใจ มีความยุติธรรมอย่างแท้จริง

นายภัทระ คำพิทักษ์ กมธ.เสียงข้างน้อย กล่าวว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ป.ป.ช. พยายามเสนอหลักการนี้เข้ามา ถ้าสนช.เห็นชอบ จะสร้างประวัติศาสตร์ ยอมให้อำนาจนี้กับป.ป.ช. ทั้งนี้มาตรา 50 อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านทุจริต(UNCDC)จะระบุถึงเรื่องการให้ใช้มาตรการพิเศษในการตรวจสอบการทุจริต แต่ระบุเพียงว่า ให้ใช้อย่างเหมาะสม ภายใต้การควบคุมเท่านั้น น่าคิดว่า หากป.ป.ช.ได้อำนาจส่วนนี้ไปแล้วถูกครอบงำจะเกิดอะไรขึ้น การพิจารณามาตรานี้ ใช้เวลาสั้นๆในชั้นกมธ.เพียงไม่เกิน 1 ชั่วโมง ก็เกิดมาตรา37/1 ขึ้นมา ยังไม่รวมถึงเรื่องอำนาจการอำพราง และสะกดรอย ที่เสนอเป็นฝาแฝดพ่วงมาด้วย ถือว่าการพิจารณายังไม่ละเอียดรอบคอบ

นายภัทระกล่าวว่า ขอยกตัวอย่างประเทศสหรัฐฯ การใช้อำนาจดักฟังจะต้องมีน้ำหนักหลักฐานแน่นหนาทางคดี จึงจะดำเนินการได้ เช่น ตำแหน่งที่ดักฟัง รูปแบบการดักฟัง รายชื่อเป้าหมายการดักฟัง เหตุผลการดักฟัง และต้องเป็นเรื่องที่ไม่สามารถใช้กระบวนการสอบสวนทางปกติได้ ที่สำคัญต้องเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน แต่หลักเกณฑ์ของไทยมีรายละเอียดเหล่านี้หรือไม่ ไม่ใช่แค่ตั้งข้อสงสัยก็ดักฟังกันได้แล้ว นอกจากข้อมูลที่ดักฟังหากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับคดีต้องถูกทำลายทันที ต่างจากมาตรการของไทยที่ไม่ได้ระบุชัดเจน จะทำลายข้อมูลเมื่อใด รวมทั้งต่างประเทศกำหนดให้ต้องรายงานเรื่องการดักฟังต่อศาลทุก 7-10 วัน ต่างจากของไทยที่พอได้รับอนุญาตให้ดำเนินการแล้ว จะมี‪เวลา 90 วัน‬ไปดำเนินการ แล้วจึงนำมารายงานต่อศาล และถ้าถูกดักฟังแล้ว แต่พบว่าไม่เข้าข่ายความผิด ผู้ถูกดักฟังต้องได้รับการแจ้งเตือนทันที และมีโอกาสฟ้องร้องศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายได้ ทั้งนี้บางประเทศ พิสูจน์ได้ว่าการดักฟังไม่มีอคติ แต่ ป.ป.ช.จะมีอคติหรือไม่ก็ไม่รู้ อย่ามุ่งแต่ใช้ข้อมูลที่จะกำจัดคนโกงเพียงอย่างเดียว เพราะจะทำให้ป.ป.ช.ตกอยู่ในความเสี่ยง ถูกเปลี่ยนโฉมไป การได้เครื่องมือบปราบทุจริตต้องชั่งน้ำหนักถึงคุณค่าที่ต้องแลกมา เช่น การละเมิดสิทธิในระบอบประชาธิปไตยว่าคุ้มค่ากันหรือไม่

นายสมชาย แสวงการ สนช. อภิปรายว่า การให้อำนาจป.ป.ช.สืบค้นข้อมูลทางโทรศัพท์ ไลน์ เฟซบุ๊กได้เป็นภัยทางการเมืองต่อทุกคน อาจมีการดักฟังข้อมูลในทุกเรื่อง ถือว่าอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพประชาชน หากยังเดินหน้าต่อไปจะมีผู้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอย่างแน่นอน

นายตวง อันทะไชย อภิปรายว่า การออกกฎหมายใดๆต้องพึงระวังเรื่องการละเมิดสิทธิเสรีภาพเกินสมควรแก่เหตุ อยากทราบว่าจะมีกลไกใดเข้าไปถ่วงอำนาจการสืบค้นข้อมูลส่วนตัวทางโทรศัพท์ ไลน์ เฟซบุ๊กได้ เพราะในอนาคตอาจมีการหยิบยกข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้มาอภิปรายทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมืองได้ เหมือนอย่างในอดีตที่เคยให้อำนาจกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ล้นฟ้า สุดท้ายกลับตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง นำมาใช้กลั่นแกล้งคู่ต่อสู้ทางการเมือง ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบ

ขณะที่ฝั่งกมธ.เสียงข้างมาก พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช. อภิปรายว่า การใช้คำว่าดักฟังเป็นการสร้างภาพที่น่ากลัว เพราะกมธ.เสียงข้างมากไม่มีเจตนาต้องการล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 36 เพราะการจะใช้อำนาจตามมาตรา37/1 ได้ ต้องผ่านมติเห็นชอบจากคณะกรรมการป.ป.ช.ทั้ง9คนก่อนว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะขอยื่นอนุมัติต่อศาล เมื่อป.ป.ช.อนุญาตแล้วต้องส่งเรื่องให้อธิบดีศาลทุจริตและประพฤติมิชอบให้ความเห็นชอบด้วย ไม่ใช่แค่ให้ผู้พิพากษาทั่วไปอนุญาต ที่สำคัญฐานความผิดที่เข้าข่ายใช้มาตรา37/1ได้ ต้องเป็นเรื่องสำคัคญมีผลกระทบในวงกว้าง เมื่ออธิบดีศาลฯอนุญาตแล้ว ป.ป.ช.จะมีเวลาไม่เกินครั้งละ90 วันในการใช้อำนาจตามมาตราดังกล่าว ส่วนข้อมูลที่ได้มา จะใช้เฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีเท่านั้น ข้อมูลที่ไม่เกี่ยวกับคดีจะถูกทำลายทันที ป.ป.ช.ไม่มีเจตนาจะละเมิดสิทธิประชาชน แต่จะทำทุกทางเพื่อตรวจสอบการทุจริต

พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต อภิปรายว่าเรื่องการให้อำนาจป.ป.ช.สืบค้นข้อมูลทางโทรศัพท์นั้น ยืนยันว่า กมธ.ไม่มีเจตนาทำลายล้างใคร แต่เป็นการทำเพื่อประโยชน์ทางคดี เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาล จึงมีความจำเป็นต้องให้อำนาจส่วนนี้ โดยมีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน ซึ่งการดักฟังข้อมูลทางโทรศัพท์ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งเห็นชอบก็ทำได้ เมื่อผ่านความเห็นจากคณะกรรมการแล้ว ยังต้องขออนุญาตจากศาลอีกครั้ง รวมถึงต้องเป็นคดีที่เป็นภัยร้ายแรงต่อสาธารณะด้วย