เผยแพร่ |
---|
สหรัฐอเมริกา
วอชิงตัน – สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา อาศัยเหตุการณ์ระเบิดโจมตีสถานีรถโดยสารพอร์ต ออธอริตี้ ใกล้กับจัตุรัสไทม์สแควร์ ในนครนิวยอร์ก เมื่อช่วงเช้าวันที่ 11 ธันวาคม ตามเวลาท้องถิ่น เป็นผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 รายซึ่งรวมถึงชายผู้ก่อเหตุด้วย เป็นเครื่องชี้ช่องให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่สภาคองเกรสสหรัฐจะต้องเร่งปฏิรูปกฎหมายว่าด้วยการอพยพเข้าเมืองที่รัดกุมยิ่งขึ้น โดยทรัมป์ชี้ว่า ความพยายามก่อเหตุฆาตกรรมหมู่โจมตีนิวยอร์กครั้งนี้ที่นับเป็นครั้งที่ 2 แล้วในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา เป็นสิ่งเน้นย้ำให้เห็นถึงความหย่อนยานของนโยบายที่เป็นอันตรายและมีความจำเป็นที่สภาคองเกรสจะต้องเร่งปฏิรูปกฎหมายเพื่อปกป้องชาวอเมริกันให้พ้นจากภัยคุกคาม ทั้งนี้ หนึ่งในมาตรการที่ทรัมป์เสนอก่อนหน้านี้มีอาทิ ลดการรับผู้อพยพมาใหม่ และการห้าม 6 ชาติมุสลิมเดินทางเข้าสหรัฐ
ด้านสื่อสหรัฐอ้างการเปิดเผยของตำรวจชุดสอบสวนระบุว่า นายอาคาเยด อุลเลาะห์ ผู้อพยพชาวบังกลาเทศ วัย 27 ปี มือระเบิดไปป์บอมบ์โจมตีสถานีรถบัสครั้งนี้ ให้การถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุว่าเพื่อต้องการแก้แค้นที่สหรัฐโจมตีกลุ่มกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) และตัวเขายังได้แรงบันดาลใจในการก่อเหตุมาจากเหตุโจมตีช่วงวันคริสต์มาสที่เกิดขึ้นในยุโรปเมื่อปีที่แล้ว และเขายังเลือกจุดลงมือโจมตีใกล้กับป้ายโปสเตอร์คริสต์มาสที่ติดอยู่บริเวณทางเดินอุโมงค์ของสถานีรถโดยสาร
ภาพจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นผู้คนที่เดินผ่านไปมา พากันแตกกระเจิงขณะที่เกิดเหตุระเบิดขึ้น หลังกลุ่มควันของแรงระเบิดเบาบางลง เผยให้เห็นร่างหนึ่งที่เป็นมือระเบิดนอนกองอยู่กับพื้นจากการบาดเจ็บโดยมีรอยไหม้บริเวณลำตัวและมือ อาการสาหัส ซึ่งเจ้าหน้าที่นำตัวส่งโรงพยาบาล และยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยอีก 3 ราย ส่วนโครงสร้างอาคารบริเวณจุดเกิดเหตุระเบิดได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐระบุว่า ความเสียหายเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยเนื่องจากระเบิดที่ผู้ต้องสงสัยรายนี้ใช้คาดติดกับหน้าอกตัวเองในการก่อเหตุ เป็นระเบิดประกอบขึ้นเองแบบง่ายๆ ไม่มีความซับซ้อน และยังทำงานผิดปกติหลังจากถูกจุดชนวนขึ้น
เยอรมนี
แฟรงก์เฟิร์ต – สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เกิดเหตุพายุหิมะที่รุนแรงที่สุดในรอบ 4 ปีที่อังกฤษและอีกหลายประเทศในยุโรป เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความปั่นป่วนจนทำให้ต้องมีการยกเลิกเที่ยวบินหลายร้อยเที่ยวบินในหลายประเทศ โดยเพียงแค่ที่นครแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคและเป็นฮับของสายการบินลุฟท์ฮันซ่า ก็มีการยกเลิกเที่ยวบินมากกว่า 330 เที่ยวบิน ขณะที่มีเที่ยวบินอีกหลายร้อยเที่ยวบินต้องล่าช้าเนื่องจากหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักเต็มพื้นรันเวย์
การท่าอากาศยานนครแฟรงก์เฟิร์ตได้ประกาศผ่านเว็บไซต์ขอให้ผู้โดยสารตรวจสอบกับสายการบินของตนว่าเที่ยวบินยังทำการบินตามปกติหรือไม่ก่อนที่จะออกเดินทางมายังสนามบิน หิมะตกหนักยังส่งผลกระทบกับสนามบินในกรุงเบอร์ลินและสนามบินดุสเซลดอร์ฟ ที่ต้องยุติการให้บริการเป็นการชั่วคราวเช่นกัน กระทั่งรถไฟหรือเรือเฟอร์รี่ก็ยังต้องหยุดให้บริการเพราะผลกระทบจากหิมะที่ตกหนัก ทั้งยังมีรายงานอุบัติเหตุทางรถยนต์จำนวนมากในหลายประเทศ
ส่วนที่ประเทศอังกฤษ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือพื้นที่ทางตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ โดยสนามบินเบอร์มิ่งแฮมซึ่งใหญ่เป็นลำดับ 2 ของประเทศ และสนามบินลอนดอนลูตัน ต้องยุติการให้บริการตลอดช่วงเช้าเพื่อให้พนักงานทำการเคลียร์พื้นที่รันเวย์ของสนามบินที่เต็มไปด้วยหิมะ ก่อนที่จะเปิดให้บริการตามปกติเฉพาะเที่ยวบินขาเข้าในช่วงบ่าย แต่เที่ยวบินทุกเที่ยวต้องประสบกับปัญหาล่าช้า หรือไม่ก็ต้องถูกยกเลิก
อิรัก
แบกแดด – สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์สรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม นายไฮเดอร์ อัล-อบาดี นายกรัฐมนตรีอิรัก ประกาศชัยชนะเหนือกลุ่มกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) หลังจากกองทัพของอิรักสามารถขับไล่สมาชิกกลุ่มไอเอสกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่ออกจากอิรักได้สำเร็จ เป็นอันสิ้นสุดการยึดพื้นที่ถึง 1 ใน 3 ของอิรักของกลุ่มไอเอสที่ยืดเยื้อมานานถึง 3 ปี
โดยกองทัพอิรักประกาศว่า ฐานที่มั่นสุดท้ายของกลุ่มไอเอสที่กองทัพอิรักสามารถยึดคืนมาได้ คือบริเวณพื้นที่ที่กลุ่มไอเอสควบคุมอยู่ตามแนวชายแดนที่ติดกับประเทศซีเรีย ซึ่ง นายอัล-อบาดี ได้กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์ บอกกับชาวอิรักว่า ผืนดินของชาวอิรักได้กลับมาเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์และความฝันของเสรีภาพตอนนี้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว พร้อมกล่าวว่า ด้วยปฏิบัติการที่ยากอย่างยิ่ง บรรดาวีรบุรุษของอิรักได้เข้าถึงฐานที่มั่นของกลุ่มไอเอสและสามารถยึดคืนมาได้ ทำให้ธงอิรักโบกสะบัดทั่วดินแดนอิรักได้ พร้อมกันนี้ นายอัล-อบาดี ยังประกาศให้วันที่ 10 ธันวาคม เป็นวันหยุดแห่งชาติเพื่อให้มีการเฉลิมฉลองกันทุกปี
ด้านรัฐบาลอิรักแถลงว่า การประกาศของนายกรัฐมนตรีหมายความว่า กองทัพอิรักสามารถรักษาดินแดนทะเลทรายฝั่งตะวันตกของประเทศเอาไว้ได้ รวมทั้งบริเวณพื้นที่ชายแดนระหว่างอิรักกับซีเรียทั้งหมด เท่ากับเป็นการสิ้นสุดการทำสงครามปราบปรามกลุ่มไอเอสของอิรัก