ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย ประกาศฟื้นเศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง เปิดตัว‘ศุภวุฒิ’ครั้งแรก เร่งเดินหน้าสร้างรายได้ ความมั่งคั่ง คืนโอกาส สู่ประชาชน

ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย ประกาศฟื้นเศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง ‘พรหมินทร์’ นำทีม เปิดหลักคิด ‘รดน้ำที่ราก คืนประชาธิปไตยกินได้’ ‘ศุภวุฒิ’ เปิดตัวครั้งแรก เร่งเดินหน้าสร้างรายได้ ความมั่งคั่ง คืนโอกาส สู่ประชาชน

(12 พฤษภาคม 2566) เวลา 10.00 น.พรรคเพื่อไทย นำโดยนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช​ ประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ​​รองประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ​​ที่ปรึกษาคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร ​​ที่ปรึกษาคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล ​​กรรมการ เลขานุการ และโฆษกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงข่าว ‘ฟื้นเศรษฐกิจประเทศหลังเลือกตั้ง โดยรัฐบาลเพื่อไทย’ ที่ พรรคเพื่อไทย

นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช​ ประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทยที่ประกอบด้วยนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย นายพันศักดิ์ วิญยรัตน์ ประธานที่ปรึกษาด้านนโยบายของ 3 นายกรัฐมนตรี และผู้มากประสบการณ์ในคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรค ขอประกาศถึงความพร้อม ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยเพื่อประโยชน์ประชาชนทุกกลุ่ม พร้อมย้ำว่านโยบายของพรรคเพื่อไทย เป็นการเชื่อมประสานกัน เพื่อความมุ่งหมายหลัก คือ ‘ประชาธิปไตยกินได้’ คือ เศรษฐกิจควบคู่การเมือง เศรษฐกิจจะดีได้ประชาชนต้องมีเสรีภาพ ทั้งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพและโอกาสในการใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างเป็นธรรม

หลักสำคัญ เรายึดหลัก รดน้ำที่ราก ต้นไม้เศรษฐกิจของเราจึงจะแข็งแรงมั่นคงไปด้วยกัน ประชาชนทุกกลุ่มได้ประโยชน์ด้วยกัน ทุกส่วนมีรายได้เกื้อหนุนกัน คนรุ่นใหม่เติบโตด้วยความหวัง มีงานทำ มีโอกาสหารายได้ใหม่

นายแพทย์พรหมินทร์ กล่าวอีกส่า ที่ผ่านมาเราได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเหล่านี้ร่วมกับภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งต่างคาดหวัง มีความเห็นที่สอดคล้องกับนโยบายของเรา และมีความเชื่อมั่นในพรรคเพื่อไทย เรามีความพร้อมแก้ปัญหา ก้าวผ่านวิกฤต นำประเทศไทยสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้ง ด้วยนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่ถูกพัฒนาจนแข็งแรง ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยใช้เวลารวมกว่า 6 ปี ในการกลั่นนโยบาย และในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เราได้เร่งนำนโยบาย เขาไปพูดคุยกับทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย องค์กร/ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว – เทคโนโลยี – เกษตร ผู้ประกอบการ คนทำงานทุกสาขาอาชีพ นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ทูตานุทูต EU สหรัฐ อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี จีน เราได้รับการตอบรับ และได้รับข้อเสนอเพิ่มเติมในรายละเอียด ที่เป็นข้อห่วงใยแก้ไข ซึ่งพรรคเพื่อไทยนำกลับมาปรับแก้ไขเพื่อให้เกิดความกลมกล่อมในการบริหารเศรษฐกิจในแบบเพื่อไทย ซึ่งคือ การปรุงรส จัดสรรแบ่งปันประโยชน์ให้ทุกภาคส่วน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เติบโตและเดินไปพร้อมกัน

“ ผมขอยืนยันว่า โยบายเหล่านี้พร้อมทำได้จริง ทำได้ทันที เชื่อในพรรคเพื่อไทย สามารถฟื้นเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจเติบโต ฟื้นคืนเกียรติภูมิประเทศไทยในเวทีโลกอีกครั้ง และที่สำคัญที่สุดคือ พี่น้องประชาชนไทย จะได้รับการดูแล ได้รับประโยชน์สูงสุดก่อน เราพร้อมแล้วทุกด้าน ผู้นำพร้อม นโยบายพร้อม ทีมงานพร้อม เลือกเพื่อไทย เพื่อสร้างความมั่งคั่ง เลือกเพื่อไทย เพื่อขจัดความยากจน เลือกเพื่อไทย เพื่อเปลี่ยนความฝัน ให้เป็นความหวัง เลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ เปลี่ยนประเทศทันที” นายแพทย์พรหมินทร์ กล่าว

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยอยู่บนพื้นฐานการหยิบยื่นโอกาสให้ประชาชนสามารถสร้างรายได้ สร้างความมั่งคั่ง ทำให้เศรษฐกิจโต เพื่อให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น มีเงินเพียงพอในการดูแลประชาชนไม่ให้ตกหล่น ซึ่งเป็นพื้นฐานที่เรายึดถือมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลในช่วงที่ประเทศเป็นหนี้ไอเอ็มเอฟ เศรษฐกิจภายในขาดความมั่นใจ ฟื้นตัวยาก จึงได้ดำเนินนโยบายอย่างครบถ้วน ครอบคลุม ตั้งแต่กองทุนหมู่บ้าน ให้สินเชื่อธุรกิจรายย่อย โครงการโอทอป สร้างผลิตภัณฑ์และหาตลาด ลดภาระหนี้เกษตรกร พร้อมขับเคลื่อนการเจรจาการค้ากับประเทศต่างๆ จนเกิดเป็นความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย – ญี่ปุ่น (JTEPA) และกำลังไปเจรจาการค้าเสรีกับสหรัฐฯ แต่ถูกปฏิวัติก่อน

ผลจากการขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ในช่วงเวลา 6 ปีนั้น ทำให้ GDP ไทยโตเฉลี่ย 5.4% เทียบกับเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ทหารเข้ามายึดอำนาจ ปี 2557-2562 ไทยมี GDP โตเพียง 3% ต่อปี ทั้งนี้ การที่ GDP ไทยโตเร็ว จะสามารถแก้หนี้สาธารณะได้ เช่นตอนที่พรรคไทยรักไทยเข้ามารับตำแหน่ง หนี้สาธารณะอยู่ที่ 58% ของ GDP เมื่อถูกปฏิวัติ หนี้สาธารณะของไทยเหลือ 39% ของ GDP ล้วนมาจากแนวคิดขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งภาพใหญ่และภาพเล็ก ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

“แนวคิดนี้ต่างจากรัฐสวัสดิการ ตรงที่รัฐสวัสดิการต้องให้รัฐบาลมีขนาดใหญ่มากๆ ดูแลตั้งแต่เกิดจนตาย รัฐบาลต้องกำกับทุกอย่าง แต่ถ้าไปดูการเก็บภาษีต่อ GDP ของประเทศรัฐสวัสดิการ เช่น นอร์เวย์ ฟินแลนด์ สวีเดน จะเก็บภาษี 50-60% ของ GDP ประเทศไทยเก็บภาษี 20% ของ GDP ดังนั้น จึงเป็นแนวคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งพรรคเพื่อไทยต้องการให้รัฐบาลมีขนาดไม่ใหญ่มาก คือการกระจายอำนาจ หากมีการเก็บภาษี 40% จะทำให้รัฐบาลมีอำนาจทางเศรษฐกิจทั้ง 40% ของ GDP แต่เราต้องการกระจายอำนาจ เพราะว่าเราเชื่อว่าประชาชนมีความสามารถ โดยมีรัฐบาลเพื่อไทยเป็นทีมขับเคลื่อนอยู่ข้างหลัง” นายศุภวุฒิกล่าว

นายศุภวุฒิ ยกตัวอย่างโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ในเชิงเศรษฐกิจ สามารถทำให้ประชาชนเข้าถึงการประกันสุขภาพจาก 69% ในปี 2544 เพิ่มขึ้นเป็น 97% ในปี 2549 ลดความเหลื่อมล้ำด้านสาธารณสุขไปได้ 20 ล้านคน และช่วยให้คนไม่เข้าสู่เสี่ยงล้มละลายเนื่องจากค่ารักษาพยาบาลถึง 2 แสนครอบครัว โดยที่การใช้จ่ายด้านสาธารณสุข ยังคงเท่ากับ 3.1% ทั้งในปี 2544 และปี 2549 ไม่ได้เพิ่มขึ้นเพราะมากจาก GDP โตขึ้น คือ Smart Government ที่ให้เกิดขึ้น

ในขั้นต่อไป เราจะอัปเกรดโครงสร้างภาคสาธารณสุขให้สมบูรณ์ดีกว่าเดิม ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพรายบุคคลมากกว่าแค่การรักษาทุกโรค นัดคิวออนไลน์ ตรวจได้จากคลินิกใกล้บ้าน ลดการแออัดในโรงพยาบาล บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทั่วไทย พร้อมดูแลให้คนอายุน้อยมีคุณภาพที่ดีตั้งแต่เด็ก เช่น ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกฟรีให้กับเด็กหญิงอายุ 9-11 ปี ตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ในตับและไวรัสตับชนิดที่มีความเสี่ยงให้มะเร็งตับฟรี นี่คือสิ่งที่รัฐบาลช่วยคิดแทน เพราะถ้ารัฐบาลไม่ได้คิดแทน เราจะมีปัญหา IUU เช่นที่ผ่านมา

จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้า และพบว่าเอสเอ็มอีในประเทศเริ่มมีปัญหาทางการเงิน เป็นหนี้สงสัยจะสูญ หรือเริ่มจ่ายดอกเบี้ยไม่ได้ 20% ของสินเชื่อเอสเอ็มอี หนี้ส่วนบุคคลเอ็นพีแอลแตะ 20% เป็นเหตุผลที่เราต้องกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ให้ฟื้นตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าเป็นต้นไป

นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยได้รับการติดต่อจากประเทศต่างๆ กำลังสนใจเจรจาการค้าและเศรษฐกิจ อาทิ นักลงทุนจากจีน เกาหลีใต้ รวมถึงญี่ปุ่นที่มีเม็ดเงิน 5,000 ล้านเหรียญ สำหรับการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาเป็นประเทศอื่น หรือการที่สิงคโปร์ขึ้นภาษีชาวต่างชาติที่ซื้อบ้านในสิงคโปร์จาก 30% เป็น 60% ทำให้เขาเริ่มมองหาประเทศอื่นแทน ซึ่งเรามองว่าเหล่านี้ล้วนเป็นโอกาสของประเทศไทยทั้งสิ้น ขอให้เพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ​​รองประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การทำให้เศรษฐกิจเติบโต ไม่ใช่เพียงแต่ด้านอุปสงค์ กำลังซื้อ หรือความต้องการสินค้าในตลาดต่างประเทศเท่านั้น ฝั่งการผลิตหรืออุปทานถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เช่น ปัญหา IUU ที่ทำให้เรือประมงหายไปกว่า 30,000 ลำ ทั้งที่สามารถผลิตอาหารทะเลป้อนตลาด และส่งออกต่างประเทศได้ ซึ่งฝั่งอุปทานหายไป ไม่มีความใส่ใจแก้ไข รวมทั้งอุตสาหกรรมภาคการผลิต ธุรกิจบริการ หรือธุรกิจการเกษตร ที่ต้องเพิ่มผลิตภาพ ซึ่งจะทำให้ประชาชนภาคส่วนต่างๆมีรายได้ที่สูงขึ้น สอดคล้องกับผลิตภาพที่สูงขึ้นด้วย เมื่อมีรายได้ที่ดีพร้อม ผู้ประกอบการจะสามารถจ่ายค่าตอบแทนในอัตราที่สูงขึ้นได้

ทั้งนี้ ขอให้ภาคการผลิต ผู้ประกอบการ นักธุรกิจ นักลงทุน เกษตรกรทุกสาขา มีความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลในยุคไทยรักไทย รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ให้ความสำคัญเรื่องวินัยการเงินการคลังเป็นอย่างยิ่ง นโยบายด้านภาคการผลิต ที่จะต้องผลักดันในช่วงต้นๆ ต้องอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงิน การคลัง อย่างรอบด้าน

นายกิตติรัตน์ กล่าวถึงนโยบายโฉนดถ้วนหน้า 50 ล้านไร่ ซึ่งเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ถูกตั้งข้อสงสัยว่า เอาโฉนดมาซื้อใจประชาชนอยู่ในป่าที่สาธารณะหรือไม่ จากการลงพื้นที่ในช่วงที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนจำนวนมากอาศัยบนที่ดินทำกินนั้นมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลายาวนาน และโดยข้อกฎหมายควรจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ นโยบายโฉนดถ้วนหน้า 50 ล้านไร่ เพื่แให้ประชาชนได้รับสิทธิ์อันควรถือเป็นหน้าที่ และจะมีผลทางเศรษฐกิจ เพิ่มพื้นที่สีเขียวในระบบนิเวศควบคู่ไปกับนำเอาที่ดินเป็นหลักประกันสินเชื่อ ไปปรับปรุงพื้นที่การผลิต ให้มีผลผลิตต่อไร่ที่สูงขึ้นและดีขึ้น ส่งผลไปถึงการลดปัญหา PM 2.5 การท่องเที่ยวจะดีขึ้นด้วย

“พรรคเพื่อไทยมองภาพรวมครบ ไม่ได้ประกาศนโยบายแต่ละชิ้นมาเพื่อเพียงเอาใจผู้ที่รับผลประโยชน์ทางตรง แต่ทั้งหมดจะรวมกันกลายเป็นเศรษฐกิจที่ดี” นายกิตติรัตน์ กล่าว