‘พิธา’ไม่ติดใจบ้านใหญ่-จุดยืนพท. จับมือตั้งรบ.กันได้ ยัน ก้าวไกลไม่เหมือน ปชป.

‘พิธา’ ชี้ จุดยืนพรรคเพื่อไทยยังไม่มีปัญหา จับมือตั้งรัฐบาลกันได้ ย้ำตั้งพรรคเพื่อปิด สวิตช์ 3 ป. ไม่ขอเจรจาพรรคทหารจำแลง ตอก ‘บิ๊กป้อม’ คนสร้างความขัดแย้งจะอาสาแก้ขัดแย้งไม่ได้ ลั่น ‘ก้าวไกล คือก้าวไกล’ อุดมการณ์ ต่างจาก ‘ปชป.’

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 15 มีนาคม ที่โรงแรมเอเชียแอร์พอร์ต ดอนเมือง พรรคก้าวไกล (ก.ก.) จัดประชุมใหญ่พรรคเตรียมพร้อมก่อบการยุบสภาฯ มีแกนนำพรรคและว่าที่ผู้สมัครส.ส.ครบทุกเขต เข้าร่วมประชุม

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ระบุว่าสามารถร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลได้แต่มีเงื่อนไขคือการไม่แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า เราไม่มีเจตจำนงในการรวมกับพรรคทหารจำแลงคือพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐ เพราะเป็นพรรคที่ทำรัฐประหาร และตอนนี้ยังจะรักษาอำนาจต่อ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะร่วมมือกัน

เมื่อถามถึงกรณีที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดจดหมายเสนอตัวเชื่อมประสานระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีนิยม ที่ล้มเหลวทั้งคู่ นายพิธา กล่าวว่า เราไม่สามารถก้าวข้ามความขัดแย้งที่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องได้ การจะก้าวข้ามความขัดแย้งและก่อให้เกิดการปรองดองได้จะต้องมีระบบความยุติธรรม และการเสาะหาข้อเท็จจริงก่อน ต้องทำให้วัฒนธรรมคนผิดลอยนวลหมดไปก่อน จึงจะทำให้เกิดการปรองดองที่แท้จริงได้ ส่วนจดหมายของพล.อ.ประวิตรฉบับที่ 4 ทั้งเรื่องการตั้งคณะกรรมการมากรองนโยบาย ตนขอเรียนพล.อ.ประวิตรให้เข้าใจว่านโยบายของตัวเองตั้งแต่พรรคพลังประชารัฐ และในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ยังทำไม่ได้ตั้งเยอะตั้งแยะ จึงขอให้ไปทำนโยบายที่เคยสัญญากับประชาชนไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้วให้เสร็จก่อน การที่จะเอานโยบายนโยบายหนึ่งมาผลิตมีกระบวนการของมัน

นายพิธา กล่าวว่า สำหรับกระบวนการทำนโยบายของพรรคก้าวไกลคือการลงพื้นที่พบพี่น้องประชาชนหาปัญหาให้เจอว่าอยู่ที่กฎหมาย งบประมาณ หรือระบบราชการ แล้วค่อยนำมาปฏิบัติ ฉะนั้นคนที่จะนำนโยบายที่เป็นของแต่ละพรรคและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงต้องเป็นคนที่คลุกคลีกับปัญหา ไม่ใช่ว่าตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งแล้วจะสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างในประเทศไทยได้ ถ้าอยากจะปรองดอง ก็ตั้งคณะกรรมการปรองดอง ถ้าอยากจะตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายก็ตั้งคณะกรรมการ ประเทศไทยไม่ได้ขับเคลื่อนง่ายขนาดนั้น

เมื่อถามว่าหากเสียงไม่พอก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เป็นรัฐบาลจะมีประโยชน์กับประชาชนมากกว่า เราจะหาเสียงให้เต็มที่ ถ้าไปถึงตามเป้าหมาย เรามั่นใจว่าจะมีน้ำหนักทางการเมืองพอที่จะได้เป็นรัฐบาล

เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย เดินเกมรุก นำส.ส.บ้านใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มสามมิตรที่ออกมาจากพรรคพลังประชารัฐ แล้วจะทำให้มีปัญหาในการจับมือร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า เราไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้และกระบวนการทำงานของพรรคก็แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามเรื่องนโยบายและจุดยืนของพรรคเพื่อไทยจนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีปัญหาอะไร ตนจึงคิดว่าจะยังร่วมมือกันได้ ส่วนนี้เป็นเรื่องภายในของพรรคเพื่อไทย กับกลุ่มสามมิตร ทั้งนี้ ตนไม่มีวิธีการทำงานทางการเมืองในลักษณะนั้น และจะพยายามโฟกัสในสิ่งที่พรรคก้าวไกลพยายามอยากจะนำเสนอพี่น้องประชาชนทั้งเรื่องนโยบายและว่าที่ผู้สมัครส.ส.

เมื่อถาม ว่าสามารถทำงานกับคนที่อยู่ในคณะรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ต้องดูแยกเป็นคนคนไป แต่หากใครที่มาจากพรรคทหารจำแลงก็น่าจะทำงานด้วยกันยาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมองไปข้างหน้าวันนโยบายและจุดยืนทางประชาธิปไตยเข้มแข็งมากเพียงใด

เมื่อถามว่า เพื่อจะจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ เป็นไปได้หรือไม่ หากจำเป็นต้องนำปฏิบัติการมาเป็นอุดมการณ์ นายพิธา กล่าวว่า ตนคิดว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่ไม่ถูกต้องสำหรับการเมืองไทยในปัจจุบัน เพราะการจะปฏิบัติได้จะต้องมีอุดมการณ์ไปด้วยกัน ตนจึงเน้นกับว่าที่ผู้สมัครส.ส.ของพรรคก้าวไกลเสมอว่าต้องมีอุดมการณ์ และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและทำให้ประชาชนไว้ใจ ถ้ามีประสิทธิภาพปฏิบัติได้ แต่เป็นการเรียนลัดหรือหาทางลัดทางอ้อม จนไม่มีระบบเหลืออยู่ ถึงเวลาครั้งนี้สำเร็จ ครั้งหน้าก็อาจจะไม่สำเร็จ เราจึงต้องนำเรื่องของระบบและอุดมการณ์มาเป็นตัวตั้ง แต่ความยากคือการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเรื่องของระบบ ทำให้ไม่ว่าใครจะเข้ามาก็สามารถแก้ไขปัญหาได้และเกิดความยั่งยืนในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างแท้จริง

เมื่อถามว่าหากพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐส่งคนมาเจรจากับพรรคก้าวไกลจะยอมคุยด้วย หรือมีข้อตกลงหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีและคงไม่มีวันที่จะได้คุยกัน เมื่อถามย้ำว่าเท่ากับปิดประตูเลยหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า แน่นอนเพราะเราตั้งพรรคมาเพื่อปิดสวิตช์ 3 ป. และเปิดแสงสว่างให้กับประเทศไทย เลิกแช่แข็งประเทศไทยเพื่อไปสู่อนาคต

เมื่อถามถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีระบุว่าพรรคก้าวไกลเริ่มมีความเป็นสถาบันทางการเมืองมากขึ้นเหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยเป็นมาในครั้งหนึ่ง มองว่าเป็นผลบวกต่อพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตนคิดว่าสิ่งที่ตนพยายามทำกับพรรคก้าวไกลคือการทำให้เป็นสถาบันทางการเมือง แต่การเป็นแค่สถาบันทางการเมืองเป็นเพียงเรื่องขององค์กร เพราะอุดมการณ์ วิธีการทำงานและวิสัยทัศน์ก็อาจจะแตกต่างกัน ตนต้องการจะเห็นสถาบันทางการเมืองอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ต้องการเห็นนิติรัฐนิติธรรมอยู่กันอย่างเสมอภาคภายใต้กฎหมาย ตนอยากเห็นความเท่าเทียมในการทำ มาหากิน นี่เป็นอัตลักษณ์ของพรรคก้าวไกลที่ไม่เหมือนใคร ก้าวไกลก็คือก้าวไกล