กลยุทธ์ ปรับครม. ต้องรบเร็วหาก”ยืดเยื้อ” จะเป็น “ปัญหา”

คำยืนยันที่ว่ากระบวนการ “ปรับครม.”ภายในเดือนธันวาคมคือปม 1 อันจะเป็น “ประเด็น”
เพราะว่านี่ คือ เงื่อนไขของ “เวลา”
สะท้อนให้เห็นว่า การปรับครม.เนื่องแต่การลาออกของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล มิได้เป็นเรื่องของตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเพียงตำแหน่งเดียว
หากแต่เป็นไปตามคำทำนายของ”ฤาษีเกวาลัน”
นั่นก็คือ จะเป็นการ “ปรับใหญ่” และมีจำนวนการเข้าและออกไม่ต่ำกว่า 10 ตำแหน่ง
เพราะมากถึงกว่า 10 ตำแหน่งจึงต้องใช้เวลา 1 เดือน
และน่าจะเป็น 1 เดือนอันมากด้วย “ข่าวลือ” ประสานกับ”ข่าวปล่อย”ในทางการเมือง

เหมือนกับ “แถลง” จากปาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นการยุติ “ข่าวลือ”
อาจได้ในกรณีของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา
แต่ในกรณีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ยัง
เว้นแต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะออกมา”สยบ”เอง
กระนั้น กรณีของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ก็ดำเนินไปอย่างมีปมมีปัญหาค้างคาอยู่
ไม่ว่าจะเป็นการปรับในแบบ “ลดเกรด”
ไม่ว่าจะเป็นการปรับในแบบเกิดสภาพ “แพแตก” ภายในกระ ทรวงเกษตรและสหกรณ์
ทั้งหมดล้วนแต่เป็น “คำถาม”

จากนี้จึงเห็นได้อย่างเด่นชัดว่า ไม่ว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้ง ไม่ว่า รัฐบาลจากการรัฐประหาร
ในเรื่องปรับครม.ต้องรบเร็ว จบเร็ว
ไม่สามารถดำเนินกลยุทธ์ “สงครามยืดเยื้อ” ได้อย่างเด็ดขาด เพราะจะยากแก่การควบคุมแนวรบ ควบคุมสมรภูมิ
หากยืดเยื้อเกิน 3 สัปดาห์อาจเป็นเรื่อง
1 เกิดภาวะหวั่นไหวภายในครม.เอง และ 1 ซึ่งสำคัญจะเกิดภาวะ”เกียร์ว่าง”ในแวดวงข้าราชการ เพราะต้องรอนายคนใหม่
รบเร็ว จบเร็ว จึงคือหลักการ ไม่ใช่ยืดเยื้อเป็นเดือน