“พิชัย” จี้ เร่งลดราคาไฟฟ้า น้ำมัน และ ก๊าซหุงต้ม เตือน เศรษฐกิจไทยน่าห่วง ส่งออกติดลบ ขาดดุลการค้าพุ่ง

“พิชัย” จี้ เร่งลดราคาไฟฟ้า น้ำมัน และ ก๊าซหุงต้ม เตือน เศรษฐกิจไทยน่าห่วง ส่งออกติดลบ ขาดดุลการค้าพุ่ง คนไทยหนี้ท่วม แนะ เลือกเพื่อไทย แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน และ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และการเมือง พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การส่งออกของไทยในเดือนมกราคมติดลบ 4.5% ซึ่งเป็นการส่งอออกที่ติดลบติดกันเป็นเดือนที่ 4 อีกทั้งยังทำให้ไทยขาดดุลการค้าถึง 4,649.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งขาดดุลสูงที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณเศรษฐกิจที่อันตรายมาก เพราะในปีที่แล้ว (ปี 2565) ประเทศไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดกว่า 16,900 ล้านเหรียญสหรัฐ และปีนี้เริ่มต้นปีก็ยังขาดบัญชีเดินสะพัดอีกในเดือนมกราคม อีกทั้งรายได้จากการท่องเที่ยวในเดือนมกราคม 2566 ก็ลดลงจากเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เพราะมีนักท่องเที่ยวลดลง สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยดูไม่ค่อยสดใสนัก

นอกจากนี้ยังพบว่าคนไทยกว่า 25 ล้านคนมีหนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ หนี้ครัวเรือน หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล และ บัตรเครดิต และสถานการณ์หนี้เสียในระบบธนาคารยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสาเหตุหลักน่าจะมาจากรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย และยิ่งราคาข้าวของแพงขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงสาเหตุหลักมาจากที่ราคาพลังงานสูงขึ้น หนี้ก็จะยิ่งเพิ่มสูงตาม เพราะรายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น

ล่าสุด รัฐบาลประกาศจะลดราคาค่าไฟฟ้าในภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และ ภาคบริการ ต่ำกว่า 5 บาท ตามที่พรรคเพื่อไทย เรียกร้อง แต่อาจจะขึ้นราคาค่าไฟฟ้าในภาคครัวเรือน น่าจะไม่ใช่การดำเนินการที่ถูกต้องเพราะครัวเรือนมีภาระค่าใช้จ่ายที่หนักมากแล้ว ไม่ควรจะขึ้นราคาไฟฟ้าในภาคครัวเรือน แต่ควรเร่งลดราคาค่าไฟฟ้าในภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมและ ภาคบริการ และ น่าจะต้องลดราคาค่าไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนด้วย เนื่องจากราคาต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้ลดลงแล้ว โดยราคาก๊าซแอลเอ็นจีที่ราคาลดลงมาต่ำกว่า $20 และ ราคาน้ำมันก็ลดลง อีกทั้งปริมาณก๊าซในอ่าวไทยที่มีราคาถูกและสามารถนำขึ้นมาได้เพิ่มขึ้นแล้ว ดังนั้นราคาไฟฟ้าก็น่าจะต้องปรับราคาลดลงมาได้แล้ว ทั้งนี้ เพราะราคาค่าไฟฟ้าเป็นปัจจัยในการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่จะลงทุนในประเทศไทย ซึ่งราคาค่าไฟฟ้าของประเทศไทยแพงกว่าค่าไฟฟ้าของประเทศเวียดนามมาก

นอกจากนี้ ประชาชนยังต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่ม จากราคาค่าก๊าซหุงต้มที่เพิ่งจะเพิ่มขึ้นเป็น 423 บาท/ ถัง 15 กก. ในวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา และอาจจะต้องเพิ่มขึ้นอีกเป็น 438 บาท/ถัง 15 กก. ในอีกไม่นานนี้ ซึ่งจะผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายของครัวเรือน การปรุงอาหาร รวมถึงราคาอาหารจานเดียวที่ประชาชนจำเป็นต้องบริโภค แต่รัฐบาลกลับปล่อยให้ราคาก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้นตลอด จากต้นปีที่แล้วที่ราคาก๊าซหุงต้มยังอยู่แค่ 318 บาท/ ถึง 15 กก. โดยไม่ได้มีแนวทางช่วยเหลือหรือแก้ไข อีกทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ลดลงมานานแล้วอยู่ในระดับก่อนเกิดสงครามรัสเซีย ยูเครน (ประมาณ $70-$80 ต่อบาเรล) แต่ราคาน้ำมันดีเซลของประเทศไทยยังสูงมาก อยู่ที่ลิตรละ 33.94 บาท ซึ่งในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้การบริหารของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ราคาน้ำมันดิบแพงกว่ามาก ($110 ต่อบาเรล) แต่ราคาน้ำมันดีเซลยังต่ำกว่าลิตรละ 30 บาท ดังนั้นรัฐบาลควรต้องลดราคาน้ำมันดีเซลลงได้แล้ว รวมถึงน้ำมันเบนซินด้วย ซึ่งอาจจะไม่ต้องลดลงเท่ากับที่นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ของพรรคพลังประชารัฐเสนอ แต่ก็ควรจะต้องลดลงมากกว่านี้

ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังผันผวนและไม่แน่นอน การลดรายจ่ายให้กับประชาชนเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ โดยการลดราคาพลังงาน น้ำมัน ไฟฟ้า และ ก๊าซหุงต้ม ที่เป็นต้นทุนของสินค้าและบริการแทบทุกชนิดจะช่วยลดภาระของประชาชนและลดเงินเฟ้อลงได้ อีกทั้งยังจะต้องมีแนวทางในการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ซึ่งพรรคเพื่อไทยมี นโยบายทุกด้านพร้อมแล้ว และ อยากให้ประชาชนมั่นใจและเลือกพรรคเพื่อไทยเข้ามากันมากๆ