มือปราบหูดำ แฉเดือด! ยุคสีกากีเสื่อมศรัทธาสูงสุด ตร.อยู่ใต้นักการเมือง แถมล้วงลูกแต่งตั้ง

ผู้การแต้มเดือด ยุคสีกากีเสื่อมศรัทธาสูงสุด ตำรวจอยู่ใต้อาณัตินักการเมือง อัดยับ นักการเมืองล้วงลูกแต่งตั้ง- โยกย้าย ชี้ปฏิรูปอำนาจตำรวจ นักการเมืองต้องหยุดแทรกแซง

2 กุมภาพันธ์ 2566 “ผู้การแต้ม” พล.ต.ต.ดร.วิชัย สังข์ประไพ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดือดหลังมีข่าวตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องในการเรียกรับผลประโยชน์และปฏิบัติหน้าที่กรณีนักแสดงสาวชาวไต้หวัน พร้อมระบุว่าตำรวจอยู่ในยุคที่ประชาชนเสื่อมศรัทธาสูงสุด ขาดความน่าเชื่อถือ ตั้งแต่ระดับผู้บังคับบัญชาจนถึงตำรวจชั้นผู้น้อย เพราะหละหลวม ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ ปกป้องพวกพ้อง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน โดยผู้การแต้มพุ่งเป้าไปที่การล้วงลูกของนักการเมืองในการแต่งตั้ง-โยกย้ายข้าราชการตำรวจ ทำให้การบริหารงานองค์กรตำรวจบิดเบี้ยว ตำรวจต้องอยู่ใต้อาณัตินักการเมือง ไม่มีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา

“ทุกครั้งที่ตำรวจกระทำความผิด จะมีการสืบสวนสอบสวนทั้งคดีอาญาและความผิดทางวินัยซึ่งเป็นไปตามขั้นตอน กระบวนการ สมัยผมรับราชการเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย ไม่มีเรื่องเสื่อมเสีย เพราะผู้บังคับบัญชาทำงานมาก เข้มมาก ดุมาก คนที่ไม่ทำงานอย่าเสนอหน้า คนที่เสนอหน้าต้องทำงานดังนั้นตำรวจจึงทำงานแข่งกัน เมื่อทำงานแข่งกันผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับประชาชน แต่ทุกวันนี้ตำรวจมีเรื่องเสื่อมเสียรายวันจนประชาชนไม่เชื่อมั่น ผมเชื่อว่าหลังจากนี้อีกไม่นานก็จะต้องมีเรื่องเสื่อมเสียเกี่ยวกับตำรวจออกมาอีก” พล.ต.ต.ดร.วิชัย กล่าว

ผู้การแต้มยังกล่าวอีกว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของการบริหารจัดการของผู้บังคับบัญชาระดับสูง สิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งส่งผลให้องค์กรตำรวจเสื่อมเสียมากเกิดจากนักการเมืองที่แทรกแซงระบบการแต่งตั้ง –โยกย้าย ที่ไม่เป็นธรรม เพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตัวเอง โดยตำรวจที่เกิดจากการวิ่งเต้นซื้อตำแหน่ง ไม่มีหลักการบริหารที่เกิดจากความรู้ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม ยุติธรรม รอบคอบ กล้าคิด กล้าตัดสินใจ เมื่อมาอยู่ในตำแหน่งสำคัญ จึงบริหารงานไม่ได้ เพราะหมกหมุ่นอยู่กับการหาผลประโยชน์ไม่ดูแลชีวิตและทรัพย์สินพี่น้องประชาชน ตนเคยพูดเสมอว่าถ้าหัวไม่ส่ายหางก็ไม่กระดิก ถ้าหัวส่ายในทางที่ดี หางต่าง ๆ ก็กระดิกไปในทางที่ดี นายกฯ และผบ.ตร.คือหัวจักรสำคัญ ถ้าหัวจักรหมุนสักนิด เฟืองเล็ก ๆ ก็จะหมุนตามแต่สิ่งที่ปรากฏทุกวันนี้คือหัวจักรหมุนน้อยหรือไม่หมุนเลย เฟืองต่างๆ เลยหมุนช้า ไม่หมุนไปด้วย นอกจากไม่หมุน ยังปกป้องอีก พูดตรง ๆ ทุกวันนี้ ตนเองรู้สึกายที่คนที่จะมองหรือถามเรื่องตำรวจ”

ทั้งนี้ ผู้การแต้ม ในฐานะอนุกรรมการการปฏิรูปตำรวจ มองว่าการปฏิรูปตำรวจที่ผ่านมาเป็นเพียงการปฏิรูปปลายเหตุ ต้องปฏิรูปอำนาจโดยให้องค์กรตำรวจมีอิสระในการบริหาร ปราศจากการแทรกแซงจากนักการเมืองอย่างแท้จริง อยากเป็นกำลังใจให้ตำรวจที่ตั้งใจทำงาน และขอให้ตำรวจทุกคนยึดมั่นในหลักคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาล และยึดหลักการบังคับใช้กฎหมายโดยเท่าเทียมกัน

“องค์กรตำรวจไม่ได้เสียหาย ที่เสียหายทุกวันนี้เกิดจากคน เราพูดกันมากเรื่องปฏิรูปตำรวจ แต่ปฏิรูปเรื่องที่ไม่ได้สาระสำคัญคือไม่เคยปฏิรูปอำนาจหน้าที่ของตำรวจ ตำรวจต้องเป็นอิสระไม่ขึ้นตรงต่อนักการเมืองเพื่อคานอำนาจกัน เพราะตำรวจเป็นผู้บังคับใช้กฏหมาย ต้องสามารถดำเนินการภายใต้กฏหมายจับนายกฯ จับรัฐมนตรี จับผู้กระทำผิดได้ทุกคนไม่มีข้อยกเว้น แต่ตอนนี้ตำรวจต้องขึ้นกับนายกฯ อยู่ภายใต้อาณัติของรัฐมนตรี ผบ.ตร.ไม่สามารถตัดสินใจเลือกคนดีเข้ามาทำงานให้ประชาชนได้ เพราะกลัวนักการเมือง องค์กรตำรวจจึงเละเทะอย่างที่เห็น ประชาชนหมดศรัทธา” พล.ต.ต.ดร.วิชัย กล่าวทิ้งท้าย