ประยุทธ์โชว์วิสัยทัศน์เวทีอาเซียน ชู 3 หลักการพัฒนายั่งยืน อีก 50 ปีข้างหน้า

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติฟิลิปปินส์ (PICC) กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 31 ในการประชุมเต็มคณะ (Plenary) โดยได้แสดงวิสัยทัศน์ในการเคลื่อนประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป ในอีก 50 ปีข้างหน้า โดยยึดหลักการและแนวทางสำคัญ 3 ประการ 1.การเสริมสร้างประชาคมอาเซียนที่มีความเข้มแข็ง เน้นนวัตกรรม และยึดมั่นกติกา ปัจจุบันอาเซียนมีขนาดเศรษฐกิจเป็นลำดับที่ 6 ของโลก และมีการคาดการณ์ว่าในปี ค.ศ.2030 จะมีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของโลก หากอาเซียนสามารถนำความตกลงโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจมาปฏิบัติตามเป้าหมายอย่างครบถ้วน และนำนวัตกรรมมาเป็นตัวขับเคลื่อน นอกจากนี้ ยังควรเร่งลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีให้หมดไป และจัดระบบการเพิ่มความโปร่งใสให้กับมาตรการที่มิใช่ภาษีของอาเซียน (Non-Tariff Measures-NTM)

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในเวลาเดียวกันการสร้างความเข้มแข็งจากภายในโดยการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน และไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง และการส่งเสริมความมั่นคงของมนุษย์ มีความสำคัญ ในการนี้สิ่งที่อาเซียนควรเร่งดำเนินการ คือ (1) การแก้ไขปัญหาทุพโภชนาการกับสภาวะแคระแกร็น (2) การเตรียมความพร้อมสำหรับสังคมสูงวัย (3) การบริหารจัดการด้านการบรรเทาทุกข์จากภัยพิบัติในภูมิภาค และ (4) การต่อต้านปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ

“ยินดีที่อาเซียนกำลังจะรับรองปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการขจัดทุพโภชนาการทุกรูปแบบ กระผมจึงเสนอว่าในปีหน้าอาเซียนพิจารณาจัดทำ Roadmap ที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยอาจร่วมมือกับหุ้นส่วนนอกภูมิภาค เช่น ธนาคารโลก เป็นต้น การเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสู่สังคมสูงวัย พร้อมแสดงความขอบคุณประเทศสมาชิกอาเซียนที่เห็นชอบในหลักการข้อริเริ่มของไทยที่จะจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงวัยอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม ภายในปี 2562 ซึ่งไทยพร้อมร่วมมือกับประเทศสมาชิกและหุ้นส่วนอื่นๆ เช่น องค์การอนามัยโลกเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ นอกจากนี้ โดยที่ประเทศสมาชิกได้รับผลกระทบเชิงเศรษฐกิจจากเหตุการณ์ภัยพิบัติ ระหว่างปี ค.ศ.2000-2010 ประมาณ 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเทศไทยจึงเร่งดำเนินการจัดตั้งคลังเก็บสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยของอาเซียน ที่จังหวัดชัยนาท และสนับสนุนปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การจัดการด้านการแพทย์ในภาวะภัยพิบัติ เพื่อสร้างศักยภาพของอาเซียนในเรื่องการบริหารจัดการภัยพิบัติ ในส่วนของการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ อาเซียนควรพัฒนาศูนย์ไซเบอร์อาเซียน เพื่อให้ประชาคมอาเซียนสามารถเข้าสู่ยุคดิจิทัลโดยมีระบบคุ้มกันจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น อาเซียนจึงควรผนวกแนวคิดศูนย์ไซเบอร์อาเซียนให้อยู่ในแผนงานการทำงานด้านไซเบอร์ของอาเซียน อีกทั้งควรพัฒนากรอบความร่วมมือด้านการบริหารจัดการชายแดนที่จะนำไปสู่การมีระบบในกรอบอาเซียน ภายในปี 2562

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ควรมองความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียนให้เป็นมากกว่าเครือข่ายการขนส่งในอาเซียน แต่เป็นการเชื่อมต่อกับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และโลกอย่างเป็นระบบ ผ่านเครือข่ายตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงในอาเซียน ในการนี้ ไทยขอย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตามชายแดนผ่านรูปแบบความร่วมมือประเทศไทย+1 ที่สามารถขยายและเชื่อมโยงกับประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศในภูมิภาคได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เป็นตัวอย่างหนึ่งที่จะเชื่อมโยงความเจริญในลุ่มแม่น้ำโขงกับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกโดยผ่านอาเซียน นอกจากนี้ การเชื่อมโยงระหว่างข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน และโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพของญี่ปุ่น หรือกรอบอื่นๆ เช่น สมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย (IORA) ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา–แม่โขง (ACMECS) ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (BIMSTEC) ต้องเกื้อหนุนกัน และอาเซียนต้องเป็นผู้นำในการสอดประสานแผนความเชื่อมโยงของทุกกรอบเหมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อเป็นภาพเดียวกัน และขยายไปเชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของโลกกลุ่มอื่นๆ เช่น BRICs หรือ G20 เพราะสุดท้ายแล้วผลที่ได้รับจะกลับมาส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนให้เพิ่มขึ้น

นายกฯกล่าวว่า ในการนี้ การสร้างหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และสถาบันการเงินระหว่างประเทศอื่นๆ จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยระดมทุนสำหรับการพัฒนาโครงการความเชื่อมโยงให้มีลักษณะบูรณาการ และมุ่งเน้นผลประโยชน์ของประชาชนทั้งในประชาคมอาเซียน และในเอเชีย-แปซิฟิก ในเวลาเดียวกัน เราไม่ควรลืมมิติความเชื่อมโยงด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้า และปัจจัยการผลิตอื่นๆ ข้ามพรมแดนด้านดิจิทัล และความเชื่อมโยงระหว่างเอกชนกับเอกชน และประชาชนกับประชาชน

นายกฯกล่าวว่า การปฏิสัมพันธ์กับประเทศภายนอกอาเซียน โดยเฉพาะการเสริมสร้างและรักษาความเข้มแข็งของแกนกลางอาเซียน (ASEAN Centrality) ภายในสถาปัตยกรรมภูมิภาคในโลกที่มีพลวัตและความท้าทายรอบด้าน อาเซียนควรจะร่วมกันส่งเสริมความเชื่อมั่นในระบบภูมิภาคนิยม และเสริมสร้างบทบาทของอาเซียนในระบบพหุภาคีนิยม เพื่อรับมือกับภัยคุกคามภายนอกภูมิภาคที่อาจส่งผลกระทบต่ออาเซียน อาทิ สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี ปัญหาการก่อการร้ายและลัทธิสุดโต่ง และประเด็นความท้าทายต่างๆ ของโลก เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ และความเหลื่อมล้ำต่างๆ ทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น แต่อาเซียนจะไม่สามารถมีบทบาทดังกล่าวได้ หากความเป็นเอกภาพยังเป็นเรื่องที่อาเซียนควรให้ความสำคัญสูงสุดโดยเฉพาะในยุคที่อาเซียนจะถูกกดดันจากโลกภายนอกมากยิ่งขึ้น ประเด็นสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อความเป็นแกนกลางของอาเซียน นายกรัฐมนตรียินดีที่อาเซียนได้มีส่วนร่วมบรรเทาสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมโดยผ่านศูนย์อาเซียน

นายกฯระบุว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนไม่ควรที่จะยึดติดกับอดีต หากแต่ควรมองไปสู่อนาคตของอาเซียนร่วมกันในอีก 20-50 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะช่วงหลังวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ.2025 เพื่อวางแผนรับมือกับวิวัฒนาการของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น อาเซียนควรเริ่มศึกษาแนวคิดของกรอบความร่วมมือใหม่ๆ ที่จะเพิ่มศักยภาพและอำนาจต่อรองของอาเซียนในยุคที่มีความเปลี่ยนแปลงสูง ซึ่งหนึ่งในแนวคิดคือการพัฒนาประชาคมเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก (East Asia Economic community-EAEc) ที่จะประกอบด้วย (1) ตลาดร่วมและฐานการผลิตร่วม (2) เสถียรภาพทางการเงินและความมั่นคงทางพลังงานและอาหาร และ (3) การพัฒนาอย่างยั่งยืนและความเสมอภาค ทั้งนี้ บนพื้นฐานของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่เข้มแข็งมีพลวัตและเชื่อมโยงอย่างสร้างสรรค์กับประชาคมโลก ในเวลาเดียวกัน โดยที่พื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย มีความเชื่อมโยงกัน และมีความท้าทายต่างๆ ในพื้นที่ดังกล่าว อาเซียนจำเป็นต้องพัฒนากรอบความร่วมมือในการรับมือกับความท้าทายดังกล่าวอย่างมีวิสัยทัศน์ จึงเห็นว่าอาเซียนควรเริ่มพัฒนาแนวความคิดความร่วมมือในพื้นที่อินโด-แปซิฟิก ที่จะเกื้อกูลกับกรอบความร่วมมือสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย (IORA) ที่เน้นประเด็นด้านเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพ และความสมดุลทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคนี้ในระยะยาว