พิธาประกาศ พร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลปิดสวิตช์ 3ป. ลั่น “กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม”

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 28 มกราคม ที่อาคารอุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เข้าสู่ช่วงการปราศรัยแสดงวิสัยทัศน์ของแกนนำพรรคก้าวไกล (ก.ก.)

โดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายของพรรคก้าว ก.ก. ปราศรัยตอนหนึ่งว่า ถ้าอยากเห็นประเทศไทยมีการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต เราต้องไม่ปล่อยให้ประเทศไทยไปต่อแบบเดิม แต่ต้องเป็นประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม เป็นประเทศไทยที่ไว้วางใจประชาชนและคืนอำนาจสูงสุดให้กับประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศ เป็นประเทศไทยที่ให้ความสำคัญให้กับประชาชนเป็นอันดับหนึ่ง เป็นประเทศไทยที่ไม่เกรงใจใครนอกจากประชาชน

นายพริษฐ์กล่าวว่า อยากชวนทุกคนคิดในมุมกลับว่า สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่น่ากลัวคือประเทศไทยที่เหมือนเดิมต่างหาก สิ่งที่น่ากลัวคือระบบการเมืองเดิมๆ ที่ต้องคอยมาสัมภาษณ์ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ว่าจะทำรัฐประหารหรือไม่ หรือต้องคอยลุ้นว่าทุกๆ 4 ปีจะได้เลือกตั้งหรือไม่ สิ่งที่น่ากลัวคือกระบวนการยุติธรรมเดิมๆ ที่เอาคนมาขังคุกเป็นสิบๆ ปีเพราะเห็นต่างทางการเมือง สิ่งที่น่ากลัวคือ การที่ปล่อยให้คนที่รวยที่สุดไม่กี่เปอร์เซ็นต์ครอบครองทรัพย์สินและที่ดินเกินครึ่งหนึ่งของประเทศ สิ่งที่น่ากลัวคือ ระบบสวัสดิการและเด็กต้องมาคอยรับบริจาคหรือแข่งกันร้องเพลงเพื่อให้ได้เรียนต่อ

“ในการเลือกตั้งที่จะมาถึงในปีนี้ จะเป็นหมุดหมายสำคัญในการกำหนดอนาคตประเทศไทย อยากจะชวนทุกคนเดินทางไปกับเรา ไปข้างหน้า สู่ประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม สู่ประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต” นายพริษฐ์กล่าว

ด้าน นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค ก.ก. ปราศรัยว่า เรารู้ว่าการเมืองแบบเดิมๆ ที่ฉุดรั้งประเทศเรานั้นเป็นอย่างไร หลายคนไม่เชื่อว่าเราเปลี่ยนมันได้จึงตัดสินใจหาทางออกย้ายไปอยู่ประเทศอื่น เรารู้ว่าปัญหาระบบราชการแข็งตัวจนเกินกว่าที่ประชาชนที่มีความตั้งใจดีจะเข้าไปทำอะไรได้มันค่อยๆ กลืนทำให้ข้าราชการน้ำดีกลายเป็นส่วนหนึ่ง ด้วยเหตุผลนี้เราจึงต้องเปลี่ยนแปลงการเมืองแบบเดิม ระบบราชการที่ไม่เป็นของประชาชน ให้กลายเป็นการเมืองดี

นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ การเมืองแบบเดิม ยังหมายถึงคนกลุ่มหนึ่งทำรัฐประหารยึดอำนาจไปจากพวกเราอำนาจที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอำนาจที่สูงสุดของพวกเรา ให้กลายเป็นของคนบางกลุ่ม และใช้อำนาจนั้นในการสร้างรัฐธรรมนูญที่ไม่ใช่รัฐธรรมนูญของประชาชน วางเครือข่ายพรรคพวกเพื่อปกป้องระบบของตัวเองและใช้เครือข่ายเหล่านี้มากดทับอำนาจที่มาจากประชาชน ทั้งนี้ พวกเขายังตั้งพรรคการเมืองเพื่อสานต่ออำนาจของทหาร เพื่อสืบทอดอำนาจต่อไปใช้กลไกการเลือกตั้งที่บิดเบี้ยวเพื่อทำลายตัวแทนของประชาชนที่เข้าสู่เกมการเมือง เพื่อทำให้ความต้องการของประชาชนเป็นไปไม่ได้

“ประชาชนไม่ได้เป็นองค์ประกอบหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่าชาติ แต่พวกเขายังใช้ชาติเพื่อทำร้ายประชาชน ทำให้ประชาชนตัวเล็กลงและทำให้คนที่เป็นผู้มีอำนาจใหญ่ขึ้น พวกเขาใช้ชาติเพื่อทำการรัฐประหาร ซึ่งความเป็นจริงคือการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างหนึ่ง พวกเขาใช้ชาติเพื่อกดทับทำลายคนที่เห็นต่างทางการเมืองให้พูดและเสนอไม่ได้ จนต้องยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ ใช้ชาติเพื่อร่วมกลุ่มทุนสีเทาปกป้องให้กลุ่มทุนเหล่านี้หากินอย่างทุจริต และนำเงินเหล่านี้กลับมาที่ผู้มีอำนาจ” นายรังสิมันต์กล่าว

นายรังสิมันต์กล่าวว่า ส่วนการเมืองดีของพรรค ก.ก. คือการไม่มีรัฐประหาร และการปฏิรูปกองทัพ พอได้ไหมที่ที่ดินของกองทัพ 6 ล้านกว่าไร่กลายเป็นสนามกอล์ฟ เพื่อให้นายพลได้ใช้สนามเหล่านี้เพื่อความบันเทิง เอามันคืนกลับให้ประชาชนเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุด พอได้ไหมกับการเกณฑ์ทหารเอาลูกหลานของพวกเราไปสู้กับหญ้ากับฆ่ามด หากทำสำเร็จจะเป็นการทลายต้นต่อของการรัฐประหาร นอกจากนี้ เราจะทำให้ตำรวจเป็นตำรวจของประชาชน และเราจะทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยึดโยงกับประชาชน และทำหน้าที่ตรวจสอบผู้มีอำนาจไม่ว่าผู้มีอำนาจในวันนั้นจะมาจากพรรคการเมืองไหนก็ตาม เราจะนำเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามาแก้ปัญหาการทุจริตในระบบราชการ

“เราจะมีการเมืองที่ดี เพื่อจะส่งต่อให้มีปากท้องที่ดีและเพื่อให้มีอนาคตที่ดี ถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้ได้ ผมเชื่อว่าประเทศไทยจะมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน ผมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเกิดขึ้นได้ และเชื่อว่าช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง เหตุผลง่ายๆ คือเรารู้ว่าปัญหาคืออะไร และคนที่มันขัดขวางความเปลี่ยนแปลงวันนี้ มันแตกแยกกันเอง นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เรากำลังจะสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อไปสู่การเมืองดีและอำนาจสูงสุดจะเป็นของพวกเรา วิธีการที่อย่างง่ายที่สุดเพื่อสร้างการเมืองดีคือการกาพรรค ก.ก. เพื่อให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” นายรังสิมันต์กล่าว

ด้าน นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. ปราศรัยในหัวข้อนโยบายปากท้องดีว่า รัฐบาลประยุทธ์บริหารงานมา 8 ปี ก่อนสถานการณ์โควิด-19 เศรษฐกิจโต 20% แต่รายได้ประชาชนเพิ่มแค่ 3% เป็นนายทหาร และเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แต่ลำดับเเรงกิ้งมหาเศรษฐีเปลี่ยนกันไปมาอยู่ไม่กี่นามสกุล เค้กก้อนโตอยู่กับนายทุน แต่เราได้เศษครีมที่อยู่บนถาดกระดาษ หลายธุรกิจยักษ์ใหญ่ลงมาแข่งขันกับเอสเอ็มอี ขายแม้กระทั่งกล้วยปิ้ง ร้านสะดวกซื้อมีข้าวไข่เจียวแล้ว พอกันทีกับปัญหาเดิมๆ เราจะเปลี่ยนทั้งหมด ด้วยนโยบายในส่วนของปากท้องดี อาทิ เพิ่มค่าเเรงขึ้นต่ำ 450 บาท ทำทันที ติดอาวุธเอสเอ็มอี ด้วยนโยบายหวยใบเสร็จ ซื้อของจากห้างร้านเอสเอ็มอีครบ 500 บาท มีสิทธิลุ้นรับรางวัลจากสลาก อัดงบ 1หมื่นล้านบาท ให้ขนส่งสาธารณะเพื่อทุกคน อัด 6 หมื่นล้านบาท รื้อระบบคุณภาพประปาไทยทุกหลังคาเรือนต้องดื่มได้ สวัสดิการก้าวหน้า เงินเด็กเเรกเกิดรับ 1,200 บาท จนถึง 6 ขวบ แบบไม่ต้องรอลงทะเบียน และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปได้รับ 3,000 บาท ถ้วนหน้าโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ปฏิรูปที่ดินครั้งใหญ่โดยการออกโฉนด 10 ล้านไร่ ยึดที่ดิน ส.ป.ก.จากเจ้าสัวนายทุน เปลี่ยน ส.ป.ก.ชาวบ้านให้เป็นโฉนดทันที ส่วนนโยบายไฟฟ้าต่อไปนี้ทุกหลังคาเรือนจะผลิตไฟฟ้าใช้เองได้ ใช้เหลือขายคืนให้รัฐได้ ด้วยโครงการโซลาร์รูฟท็อป

ส่วน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวตอนหนึ่งว่า อนาคตของประเทศไทยจะไปต่อได้ จะก้าวหน้าได้จะต้องมีรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรีที่เข้าใจว่าสร้าง งานซ่อมประเทศเพื่อคนไทยทุกคน หรือกว่า 99% ไม่ใช่อนาคตของคนเพียงแค่ 1% พูดให้ชัดคือเศรษฐกิจเติบโต ความเหลื่อมล้ำต้องลดลงด้วย ซึ่งคนอื่นเวลามองเห็นปัญหาเป็นปัญหา ส่วนตนเห็นปัญหาเป็นงาน เป็นเงิน เป็นโอกาส เป็นทองคำ จึงมีแนวคิดในการใช้นถเมลไฟฟ้าเข้ามาแทน อย่างใน กทม.กว่า 3,000 คันภายใน 7 ปี เฉลี่ยประมาณปีละ 300 คัน หากทำได้จะเกิดการสร้างงานและเศรษฐกิจในระบบอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอีกมาก ตลอดจนการพัฒนาระบบประปาโดยนำเอาสมาร์ทมิเตอร์เข้ามาใช้ แก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งซ้ำซาก ปฏิวัติระบบการศึกษาจากการท่องจำ ลดภาระครู มาเติมเต็มความฝันของเด็กและความฝันของประเทศไปด้วยกัน และอื่นๆ

นายพิธากล่าวต่อว่า ทั้งหมดที่พูดมานี้ จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเรายังไม่แก้ไขปัญหาในอดีต จากการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต ก็จะกลายเป็นการเมืองเดิม ปากท้องเดิม อนาคตเดิม ซึ่งปัญหาอดีตที่ว่ามาจากการสืบทอดอำนาจของ คสช. การเมืองที่ไม่เห็นหัวประชาชน การเมืองวนลูป รัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ แพ้เลือก ตั้งยุบพรรค วนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทุก 5 ปี ประเทศไทยจะไปไกลได้อย่างไรถ้ายังมีทหารอยู่ในการเมืองและอยู่ในมรดกของลุงแก่ๆ ที่บ้าอำนาจ กลับบ้านไปเลี้ยงหลานได้แล้วลุง ประเทศไทยจะไปไกลกว่านี้ได้อย่างไร หากการบริหารจัดการยังถูกรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพฯ และแต่ละพื้นที่ไม่สามารถจะกำหนดอนาคตของตัวเองได้ ทรัพยากรยังอยู่ในกลุ่มมือของคุณไม่กี่คน ทั้งนี้ลุงเขาอยู่กับเรามา 8 ปีแล้ว ตอนแรกบอกจะทำตามสัญญา ตอนนี้บอกขอไปต่อ ตกลงจะไปต่อที่ไหน ไปต่ออย่างไร ไปต่อแบบเดิม การเมืองเดิม ปากท้องเดิม อนาคตเดิม แล้วใครจะไปเดิมๆ แบบลุง อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องแก้ไขปัญหาอดีตให้ได้เพื่อที่จะให้เรามีอนาคต

“เพราะฉะนั้น ในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมาถึงภารกิจที่สำคัญที่สุดของการเลือกตั้งครั้งนี้คือการ ปิดสวิตช์ 3 ป. ล้างมรดก คสช.ให้สูญพันธุ์ไปจากการเมืองไทยให้ได้ ซึ่งถ้าเห็นด้วยกับการทำแบบนี้จะต้องทำ 2 อย่างคือ 1.การเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเอาทหารจำแลง พรรค คสช. พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติออกจากการเมืองไทยให้ได้ 2.เอารัฐธรรมนูญฉบับ คสช.ออกไปจากสังคมไทยให้หมด ตนเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อไหร่ 100 วันแรก จะให้มีประชามติจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชน เพราะถ้าเราไม่สามารถปิดสวิตช์ 3 ป. ได้ เราก็มีอนาคตอย่างที่เราฝันไม่ได้ เราไม่สามารถทำอย่างนี้ได้ ไม่สามารถคืนความปกติสู่การเมืองไทย เศรษฐกิจไทยและอนาคตของไทยได้

“ผมยืนต่อหน้าทุกท่านตรงนี้ด้วยเกียรติสูงสุดของชีวิตผม ในการประกาศว่าผมพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย พรรคก้าวไกลพร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ปิดสวิตช์ 3 ป. เปิดความหวังให้กับประเทศไทย กาก้าวไกลให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต ถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องก้าวออกมา เดินไปกับพรรคก้าวไกลทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” นายพิธากล่าว