ปลัด มท. เผยนายทะเบียนเพิกถอนสูติบัตร/บัตรประชาชน “กู๋เอี่ยว” ผู้ต้องหากรณีสถานบันเทิง club one ที่พัทยาแล้ว

ปลัด มท. เผยนายทะเบียนเพิกถอนสูติบัตร/บัตรประชาชน นายนิติพัฒน์ โชคชัยธนพร (กู๋เอี่ยว) ผู้ต้องหากรณีสถานบันเทิง club one ที่พัทยา!!แล้ว

วันนี้ (20 ม.ค. 66) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า จากกรณีฝ่ายปกครองได้สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสถานบันเทิง ร้าน club one พัทยา จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 65 และพบว่า นายนิติพัฒน์ โชคชัยธนพร หรือ กู๋เอี่ยว เป็นผู้บริหารร้านแสดงท่าทีไม่พอใจ และกล่าวพาดพิงผู้บริหารระดับสูง และออกมาขอโทษโดยอ้างว่ามีอาการเมา จนกระทั่งต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบทราบและขออนุมัติหมายศาลเข้าจับกุม นายนิติพัฒน์ โชคชัยธนพร หรือ กู๋เอี่ยว อายุ 45 ปี เป็นคนต่างด้าว เชื้อชาติจีน ตามหมายจับในฐานความผิดแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ จดข้อความอันเป็นเท็จลงในประวัติทะเบียนราษฎรอันเป็นเอกสารราชการหรือบัตรประชาชนปลอม

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นับตั้งแต่มีการจับกุมดังกล่าว ตนได้สั่งการอธิบดีกรมการปกครองในฐานะนายทะเบียนกลางร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดตราดดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และทำงานร่วมกับทางตำรวจอย่างละเอียด รอบคอบ รัดกุม เพราะเป็นเรื่องที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศและภาพลักษณ์ของการทำงานข้าราชการ และได้ติดตามความคืบหน้ากรณีนี้มาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด

“ล่าสุด ตนได้รับรายงานจากอธิบดีกรมการปกครองถึงการดำเนินการในกรณีดังกล่าว ซึ่งจากการสืบสวนของสำนักทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลเมืองตราด พบว่า นายนิติพัฒน์ โชคชัยธนพร ไม่ใช่คนไทย จึงได้มีคำสั่งจำหน่ายรายการ ยกเลิก เพิกถอนรายการทางทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนของนายนิติพัฒน์ โชคชัยธนพร กรณีแจ้งเกิดเกินกำหนดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งเพิกถอนสูติบัตร เพิกถอนรายการทำบัตรประจำตัวประชาชน และเพิกถอนรายการแจ้งย้ายที่อยู่ของนายนิติพัฒน์ โชคชัยธนพร ตามคำสั่งสำนักทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลเมืองตราด ที่ 1/2566 ลงวันที่ 18 มกราคม 2566 ลงนามโดย นายฬุวัฒน์ กิจวิรัตน์ นายทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลเมืองตราด” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไท กล่าวเพิ่มเติมว่า การออกคำสั่งดังกล่าวมีที่มาจากภายหลังการเข้าทำการจับกุม นายนิติพัฒน์ โชคชัยธนพร (กู๋เอี่ยว) ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานการทำงานร่วมกับจังหวัดตราด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดตราด ได้แจ้งให้สำนักทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลเมืองตราด ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลทางทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนของ นายนิติพัฒน์ โชคชัยธนพร โดยสำนักทะเบียนฯ ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากพยานเอกสาร พยานบุคคลและรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแจ้งเกิดเกินกำหนดเวลาและการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชน นายนิติพัฒน์ โชคชัยธนพรแล้ว พบว่าผู้เป็นเจ้าบ้านและผู้ยื่นคำร้องขอแจ้งเกิดเกินกำหนดในขณะนั้นยืนยันว่า ไม่ได้มายื่นคำขอแจ้งเกิดเกินกำหนด เด็กชายธีระ จงพิทักษ์วศิน เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2535 แต่อย่างใด รวมทั้งตัวของนายนิติพัฒน์ โชคชัยธนพร (ซึ่งเปลี่ยนชื่อจากนายธีระ จงพิทักษ์วศิน) ก็ได้ยอมรับว่า ไม่เคยอาศัยอยู่ประจำในจังหวัดตราด ไม่ได้เกิดและไม่เคยอยู่อาศัยในบ้านในเขตเทศบาลเมืองตราด ซึ่งเป็นข้อมูลใช้ประกอบในการแจ้งเกิดขณะนั้น นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งผลตรวจดีเอ็นเอ ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่า ผู้เป็นพี่สาวแท้ ๆ ของนายนิติพัฒน์ โชคชัยธนพร เป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันจริง พยานหลักฐานจึงรับฟังได้ว่า รายการแจ้งเกิดเกินกำหนดดังกล่าวดำเนินการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ โดยอำพราง หรือมีรายการข้อความผิดจากความเป็นจริง

“ขอย้ำเตือนให้ทุกสำนักทะเบียนอำเภอ และสำนักทะเบียนท้องถิ่น ได้ช่วยกันตรวจสอบ ดำเนินการเรื่องการทะเบียนราษฎรและบัตรประจำตัวประชาชนอย่างละเอียด รอบคอบ ให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการปลอมแปลง และสำหรับประชาชนผู้แจ้งข้อมูลต่อพนักงานอันเป็นเท็จ/ผู้เป็นพยานเท็จจะมีโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 137 ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 267 ผู้ใดแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย