ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องเสื้อแดง คดีก่อการร้าย ชุมนุมใหญ่ปี’53

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง นปช.ก่อการร้าย จัดชุมนุมใหญ่ปี’53 แต่แก้ให้จำคุก ‘เจ๋ง ยศวริศ’ 5 ปี 4 เดือน ฐานข่มขืนใจเจ้าหน้าที่ ส่วน ‘สุขเสก’ แนวร่วมชุดดำ ครอบครองระเบิดเอ็ม79 ให้จำคุกตลอดชีวิต

 

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 9 มกราคม ที่ห้องพิจารณา 814 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก่อการร้าย หมายเลขดำ อ.2542/2553 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อายุ 71 ปี อดีตประธาน นปช., นายจตุพร หรือตู่ พรหมพันธุ์ อายุ 58 ปี ประธาน นปช., นายณัฐวุฒิ หรือเต้น ใสยเกื้อ อายุ 48 ปี เลขาธิการ นปช., นพ.เหวง โตจิราการ อายุ 72 ปี, นายก่อแก้ว พิกุลทอง อายุ 58 ปี, นายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา อายุ 71 ปี, นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก อายุ 65 ปี, นายนิสิต สินธุไพร อายุ 67 ปี, นายการุณ หรือเก่ง โหสกุล อายุ 56 ปี, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท อายุ 72 ปี, นายภูมิกิติ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง อายุ 63 ปี, นายสุขเสก หรือสุข พลตื้อ อายุ 47 ปี

นายจรัญ หรือยักษ์ ลอยพูล อายุ 52 ปี, นายอำนาจ อินทโชติ อายุ 67 ปี, นายชยุต ใหลเจริญ อายุ 50 ปี, นายสมบัติ หรือผู้กองแดง มากทอง อายุ 61 ปี, นายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ อายุ 38 ปี, นายรชต หรือกบ วงค์ยอดนายยงยุทธ ท้วมมี อายุ 67 ปี, นายอร่าม แสงอรุณ อายุ 62 ปี, นายเจ็มส์ สิงห์สิทธิ์ อายุ 42 ปี, นายมานพ หรือเป็ด ชาญช่างทอง อายุ 62 ปี, นายสมพงษ์ หรือแขก บางชม, นายอริสมันต์ หรือ กี้ร์ พงศ์เรืองรอง อายุ 59 ปี ทั้งหมดเป็นแกนนำ, การ์ด และแนวร่วม นปช. เรียงตามลำดับเป็นจำเลยที่ 1-24

ในความผิดข้อหาร่วมกันก่อการร้าย โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ โดยมีความมุ่งหมายขู่เข็ญรัฐบาลไทยให้กระทำการใด หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1, ขู่เข็ญว่าจะทำการก่อการร้าย โดยสะสมกำลังพลหรืออาวุธ หรือตระเตรียมการสมคบกันเพื่อก่อการร้าย มาตรา 135/2 และร่วมกันชุมนุมหรือมั่วสุม ณ ที่ใดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปในท้องที่ผู้รับผิดชอบประกาศกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

ส่วน นายยศวริศ จำเลยที่ 7 ถูกฟ้องเพิ่มในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี, 358 และ นายอริสมันต์ จำเลยที่ 24 ถูกฟ้องเพิ่มในข้อหาร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือวิธีอื่นใดที่ไม่ใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน มาตรา 116, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ หรือเป็นหัวหน้าสั่งการ มาตรา 215 และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการกระทำแล้วไม่เลิก มาตรา 216 ทั้งหมดตามประมวลกฎหมายอาญา

คำฟ้องโจทก์ระบุกรณีพวกจำเลยได้ยุยงปลุกปั่นประชาชนให้เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช.ต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.-20 พ.ค.2553 เพื่อกดดัน ต่อต้านรัฐบาล และบังคับขู่เข็ญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ อ้างว่านายอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯโดยมิชอบ และให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งพวกจำเลยได้ร่วมกันจัดการชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ และบริเวณแยกราชประสงค์ นอกจากนั้น ยังมีการเดินขบวนไปปิดล้อมสถานที่ต่างๆ ด้วย มีการใช้อาวุธเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม79 ยิงใส่บ้านพักประชาชน สะสมกำลังพลและอาวุธสงครามร้ายแรง มีการฝึกกำลังคนและฝึกการใช้อาวุธเพื่อการก่อการร้าย

จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนใหญ่ได้รับการประกันตัวชั้นพิจารณาด้วยหลักทรัพย์ 600,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไข ห้ามกระทำการใดๆ ลักษณะดูหมิ่นผู้อื่น ยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายกระทบต่อเกียรติยศ ชื่อเสียง และความเป็นอยู่ของผู้อื่น หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน กับห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมดว่า ไม่มีความผิดฐานก่อการร้าย

 

ในวันนี้ นายวีระกานต์, นายณัฐวุฒิ, นายจตุพร, นพ.เหวง แกนนำและแนวร่วม นปช.ที่ได้รับการประกันตัวเดินทางมาฟังคำพิพากษาครบทุกคน ยกเว้น นายสมบัติ มากทอง จำเลยที่ 16 เสียชีวิต กับ นายสุรชัย เทวรัตน์ จำเลยที่ 17 และ นายอริสมันต์ จำเลยที่ 24 ที่หลบหนี

ขณะเดียวกันได้อ่านคำพิพากษาผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ไปให้ นายสมพงษ์ บังชม จำเลยที่ 23 ซึ่งถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯฟัง นอกจากนี้ ยังมี นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษา นปช., นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ นปช. คนใกล้ชิดและผู้ติดตามเกือบ 30 คนที่เดินทางมาให้กำลังใจกลุ่ม นปช. ร่วมฟังคำพิพากษา ขณะที่ทางศาลมีตำรวจจาก สน.พหลโยธิน และเจ้าพนักงานตำรวจศาล (คอร์ทมาแชล) เข้าร่วมรักษาความปลอดภัยบริเวณศาลและภายในห้องพิจารณาคดี

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์นำสืบฟังได้ว่า นายยศวริศ จำเลยที่ 7 ประกาศให้ผู้ชุมนุมร่วมกันรื้อค้นและทุบทำลายรถยนต์ของทางราชการได้รับความเสียหาย มีความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และกระทำการให้กลัวว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และเป็นการข่มขืนใจเจ้าหน้าที่ให้ยินยอมโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย อันเป็นความผิดต่อเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง

ส่วน นายสุขเสก จำเลยที่ 12 พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำ และมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการนำเครื่องยิงระเบิดเอ็ม79 ระเบิดลูกเกลี้ยง และกระสุนปืนจำนวนหนึ่งไปให้บุคคลนำไปฝัง ซึ่งต้องการปิดบังอำพรางอาวุธดังกล่าว โดยมีพยานซึ่งเบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่ได้รู้เห็นมา พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 12 เป็นผู้ใช้เครื่องยิงระเบิดเอ็ม79 ขณะเจ้าหน้าที่ปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ

การกระทำของจำเลยที่ 12 จึงเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกายของบุคคลใด เพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน อันเป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1) อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้นบางส่วน

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง และ 358 ประกอบมาตรา 83 ส่วนจำเลยที่ 12 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1(1) วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83 ให้เรียงกระทงลงโทษ จำเลยที่ 7 ฐานข่มขืนใจผู้อื่น โดยร่วมกระทำทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป จำคุก 5 ปี และฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 8 ปี

คำให้การจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1ใน 3 คงจำคุกรวม 5 ปี 4 เดือน และให้นับโทษจำเลยที่ 7 ต่อจากคดีหมายเลขแดง อ.193/2556 ของศาลชั้นต้น

ส่วนสุขเสก จำเลยที่ 12 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันก่อการร้าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ขณะนี้นายยศวริศ จำเลยที่ 7 และนายสุขเสก จำเลยที่ 12 อยู่ระหว่างยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัวสู้คดี

สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นคำพิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 ระบุว่า การกระทำอันจะเป็นความผิดฐานก่อการร้าย จะต้องเข้าองค์ประกอบความผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1(1) ถึง (3) คือต้องมีลักษณะเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ กระทำการใดๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือบุคคลใด หรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิดหรือน่าจะเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ

การกระทำดังกล่าวนั้นผู้กระทำต้องมีเจตนาพิเศษ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญ หรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศให้กระทำ หรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน แต่หากเป็นการกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือ หรือให้ได้รับความเป็นธรรม อันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย

จากพยานหลักฐานตามทางนำสืบของโจทก์ ไม่มีพยานปากใดที่เข้ามาเบิกความยืนยันว่ามีจำเลยคนหนึ่งคนใดที่เป็นแกนนำกลุ่ม นปช.ได้ทำการปราศรัย หรือกระทำการอันเป็นการยุยงปลุกปั่นให้ผู้ร่วมชุมนุม แม้โจทก์จะมีพยานเบิกความต่อศาลว่า ระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม นปช.มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นมากมายหลายแห่ง ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายในคำฟ้อง แต่พยานโจทก์ไม่ได้เบิกความยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นการกระทำของบุคคลใด หรือเป็นการกระทำของฝ่ายใด ไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของแหล่งข่าวว่าเป็นจริงหรือไม่

และยังมีพยานโจทก์อีกหลายปากเบิกความต่อศาลว่า การชุมนุมของ นปช.เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องทางการเมืองให้นายอภิสิทธิ์ประกาศยุบสภาแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งกันใหม่ เหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม โดยเฉพาะเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 ก็ไม่มีพยานปากใดเบิกความยืนยันว่าเป็นการกระทำของกลุ่ม นปช. การเดินทางไปที่รัฐสภาและสถานีดาวเทียมไทยคมก็เป็นการเดินทางไปเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลมีคำสั่งให้ต่อสัญญาณสถานีโทรทัศน์ช่องพีเพิล ชาแนล ที่รัฐบาลมีคำสั่งให้ปิด หรือตัดสัญญาณไป

ก่อนหน้านั้น ชายชุดดำก็ไม่ปรากฏว่าเป็นกองกำลังของฝ่ายใด และไม่สามารถจับกุมบุคคลใดมาดำเนินคดีได้ในขณะนั้น ทั้งๆ ที่สถานที่ที่ปรากฏตัวชายชุดดำมีประชาชนอยู่ด้วยจำนวนมาก จึงไม่น่าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะจับกุมดำเนินคดีไม่ได้ทันท่วงที

การที่แกนนำกลุ่ม นปช.ปราศรัยบนเวทีที่ว่า หากทหารออกมาสลายการชุมนุม หรือทำรัฐประหาร ให้ประชาชนนำน้ำมันมาและให้มีการเผานั้น เป็นการกล่าวปราศรัยบนเวทีก่อนวันที่จะมีการชุมนุมใหญ่หลายวัน และไม่มีเหตุการณ์เผาทำลายทรัพย์สินตามที่มีการปราศรัยแต่อย่างใด การวางเพลิงเผาทรัพย์เกิดขึ้นช่วงบ่ายวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ภายหลังจากแกนนำกลุ่ม นปช.ประกาศยุติการชุมนุมแล้ว

ศาลฎีกาได้วินิจฉัยในเรื่องการวางเพลิงเผาทรัพย์ไว้เป็นที่สุด ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8132/2561 ว่ามิใช่เป็นการกระทำของกลุ่ม นปช. การปราศรัยเรียกร้องให้ประชาชนทำการต่อต้านการทำรัฐประหารเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่สามารถกระทำได้ ไม่ถือเป็นความผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใด

การชุมนุมของกลุ่ม นปช.เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องทางการเมือง ซึ่งแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมประกาศแนวทางการต่อสู้มาโดยตลอดว่าเป็นการชุมนุมโดยสันติวิธี สงบ และปราศจากอาวุธ และปฏิเสธเข้ามาดำเนินการของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง กับพวก ซึ่งมีแนวทางการต่อสู้คนละแนวกันตลอดมา การดำเนินการของ พล.ต.ขัตติยะ กับพวก จึงมิใช่เป็นการดำเนินกิจกรรมของกลุ่ม นปช. เพราะแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ประกาศจุดยืนมาโดยตลอดว่าเป็นการชุมนุมโดยสันติวิธี สงบและปราศจากอาวุธ

การที่ นายยศวริศ จำเลยที่ 7 กับพวกขัดขวางการลำเลียงกำลังพลของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารบริเวณสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า แล้วยึดเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ไปแสดงต่อสื่อมวลชนบริเวณเวทีปราศรัย และต่อมาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรับเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายเหล่านั้นกลับคืนไปหมดแล้ว การกระทำดังกล่าวมิได้ประสงค์เอาแก่ตัวทรัพย์เพื่อเอาเป็นของตนเอง

ด้าน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า วันนี้ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีก่อการร้ายอันเนื่องมาจากการชุมนุมของกลุ่ม นปช.เมื่อปี 2553 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และวันนี้ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายกฟ้อง สาระสำคัญคือข้อกล่าวหาของอัยการซึ่งเป็นโจทก์ไม่ได้มีพยานหลักฐาน หรือข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่าการชุมนุมของกลุ่ม นปช. โดยคณะแกนนำมีเจตนาที่จะสร้างความรุนแรง สร้างความเสียหาย หรือใช้กำลังอาวุธในการชุมนุมแต่อย่างใด

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ที่มีการกล่าวหาว่ามีกองกำลังติดอาวุธ หรือชายชุดดำปรากฏตัวในการชุมนุมนั้น ก็ไม่ได้ปรากฏพยานหลักฐาน หรือข้อเท็จจริงว่ามีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้อง หรือคณะแกนนำ นปช.มีส่วนรู้เห็นในการกำกับสั่งการแต่อย่างใด ประกอบกับข้อกล่าวหาก่อการร้ายนี้จะต้องมีเจตนาพิเศษ มองว่าจะก่อการรุนแรงให้เกิดความเสียหายทั้งร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนและเจ้าหน้าที่ แต่การชุมนุมของกลุ่ม นปช.ไม่ได้ปรากฏพฤติการณ์ดังกล่าว

นายณัฐวุฒิกล่าวด้วยว่า พวกตนเคารพในคำพิพากษาและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อสู้ทุกคดีความมาโดยตลอดจนปัจจุบัน วันนี้ขอพูดเหมือนเช่นที่เคยพูดไว้หลังจากฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่ได้เป็นชัยชนะ หรือความพ่ายแพ้ระหว่างโจทก์กับจำเลย พวกตนไม่ได้มีความรู้สึกว่าเราได้รับชัยชนะต่อเจ้าพนักงานอัยการ หรือเราไม่ได้มีความรู้สึกว่านี่คือการต่อสู้กันระหว่างสองฝ่าย แต่ที่จริงมันคือการปฏิบัติหน้าที่กันอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ผ่านกระบวนการยุติธรรมโดยมีศาลท่านเป็นผู้พิพากษา

“วันนี้ผลแห่งคำพิพากษาซึ่งตรงกันทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อย่างที่กล่าวไว้ว่าพวกผมน้อมรับ และอยากให้คำพิพากษานี้เป็นเกียรติยศกับพี่น้องประชาชนที่ร่วมต่อสู้ในนามของคนเสื้อแดง ให้คำพิพากษานี้เป็นเกียรติยศของประชาชนที่สูญเสียชีวิต บาดเจ็บ หรือสูญเสียอิสรภาพจากการต่อสู้ของคนเสื้อแดง พิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรมว่าเราต่อสู้โดยยืนอยู่บนหลักการประชาธิปไตย ไม่มีเป้าหมาย หรือเจตนาอื่น” นายณัฐวุฒิกล่าว

นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า เมื่อศาลวินิจฉัยออกมาแล้วก็อยากจะให้สิ่งเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญจุดหนึ่งที่จะทำให้สังคมไทยเราสามารถอยู่ร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเห็นด้วย หรือเห็นต่างกันในทางการเมือง หากจะมีความไม่เข้าใจความจริงทางกันอยู่ก็ขอให้พวกตน ซึ่งเป็นแกนนำได้ทำหน้าที่พิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ส่วนในระหว่างประชาชน ไม่ว่าจะสีไหน ฝ่ายใด มองว่าเราน่าจะเข้าอกเข้าใจรับฟังกันเห็นอกเห็นใจกัน

ส่วนการดำเนินการหลังจากนี้ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ยังไม่ทราบ คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์พิพากษามาตรงกันก็ต้องรอดูกระบวนการว่าจะเป็นอย่างไร ขอกลับไปหารือกับทีมฝ่ายกฎหมายให้ชัดเจนก่อน โดยจะคัดเอาสำเนาคำพิพากษามาศึกษากันอย่างครบถ้วน เพื่อดำเนินการต่อสู้ต่อไป