‘ปิยบุตร’ แจงความสัมพันธ์ก้าวไกล ยืนยัน ไม่ชี้นำ-แทรกแซงพรรค

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ความสัมพันธ์ของผมกับพรรคก้าวไกล” ใจความตอนหนึ่ง ว่า หลังจากผมเขียนโพสถึงพรรคก้าวไกลอย่างตรงไปตรงมาหลายครั้ง ซึ่งมีทั้งข้อเสนอ ข้อวิจารณ์ จนทำให้ผู้สนับสนุนพรรคและแกนนำพรรครู้สึกแปลกใจและอาจมีบางคนที่ไม่พอใจว่าทำไมไม่คุยกันในทางปิด ทำไมต้องออกมาโพสต์ในที่สาธารณะ กระแสในโลกโซเชียล โดยเฉพาะทวิตเตอร์ ก็มีผู้สนับสนุนที่ไม่พอใจและผิดหวังที่ผม “แซะ” พรรคก้าวไกล (ใช้คำตามที่ปรากฏในทวิตเตอร์) บ้างก็ว่าทำแบบนี้เข้าทางผู้สนับสนุนพรรคอื่นๆ บ้างก็ตำหนิว่า ผมไม่คิดถึงหัวอกหรือเห็นใจคนในพรรค และผมก็คาดว่าน่าจะมี ส.ส.พรรคก้าวไกลอยู่บ้างที่ไม่พอใจผม เกรงว่าการแสดงออกของผมเช่นนี้บ่อยๆ จะทำให้เสียคะแนนนิยมต่อพรรค

ประกอบกับการรณรงค์ “ปลดล็อกท้องถิ่น” ซึ่งเป็นงานสุดท้ายที่ผมยังสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลอยู่บ้างได้จบลงแล้ว และตอนนี้ก็เข้าสู่โค้งสุดท้ายของสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลชุดนี้แล้ว การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ใกล้จะเข้ามาถึงเต็มที จึงคิดว่าควรพูดเรื่องที่ผมคิดมาปีเศษ เพื่อความชัดเจนและสบายใจของทุกฝ่าย

วันที่ 21 ก.พ. 2563 คน 7 คนใส่ชุดครุยบนบัลลังก์ทำการในนาม “ศาลรัฐธรรมนูญ” สั่งยุบพรรคอนาคตใหม่และเพิกถอนสิทธิของกรรมการบริหารพรรค 10 ปี ในเรื่องห้ามเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง และห้ามครอบงำพรรคการเมือง ผลจากการณ์นี้ ทำให้ผมไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล ไม่สามารถมีตำแหน่งในพรรคก้าวไกล หรือครอบงำสั่งการร่วมประชุมกับพรรคก้าวไกลได้อยู่แล้ว

แต่ก็อาจมีผู้เข้าใจว่า นั่นมันเรื่องทางกฎหมาย อย่างไรเสีย ผมยังคงมีความสัมพันธ์กับพรรค ยังร่วมกิจกรรมกับพรรคยู่ เหมือนแบบที่นักการเมืองผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันจำนวนมากทำกัน ขอเรียนชี้แจงว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพรรคก้าวไกล คงมีแต่เพียงความสัมพันธ์ในฐานะคนที่เคยเป็นเพื่อนร่วมงานเก่าและในฐานะคนที่เอาใจช่วยและจะลงคะแนนเลือกตั้งให้เท่านั้น

สาเหตุที่ผมตัดสินใจชี้แจงให้ชัดเจน ก็เพราะว่า ตำแหน่งแห่งที่ที่ผมยืนอยู่ ทำให้ผมไม่สามารถใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ เมื่อปลายเดือน พ.ค. ก็พึ่งให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ไปกับพี่หนึ่ง วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ว่า มันเป็นสถานการณ์แบบ “กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง” ทำให้ทำอะไรไม่ได้เต็มที่สักทาง กลับมาสวมหมวกนักวิชาการ คนก็คลางแคลงใจว่ายังสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกล ไปต่อในแวดวงการเมือง แวดวงสภา แวดวงการเลือกตั้ง ก็ถูกตัดสิทธิ ไม่มีพื้นที่ให้ได้ใช้สมองความคิดของเรา

ในขณะที่ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับพรรคก้าวไกล คนที่ไม่ชอบพรรคก้าวไกล หรือคู่แข่งขันของพรรคก้าวไกล อาจคิดว่า จำเป็นต้องใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารโจมตีผม เพราะถ้าตีผมได้ พรรคก้าวไกลก็จะเสียหายไปด้วย ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพรรค กรณีเช่นนี้ ก็ไม่เป็นธรรมกับผมเท่าไรนัก กลายเป็นผมต้องมาเป็น “เป้า” ถูกโจมตีแทนพรรคก้าวไกลไปเสีย เวลาผมแสดงความเห็นต่อสาธารณะ คนก็ลากเข้าไปเกี่ยวกับพรรคก้าวไกล ซึ่งก็ไม่เป็นธรรมกับพรรคก้าวไกล บรรดา ส.ส.ผู้สมัคร ส.ส.และแกนนำของพรรคก้าวไกล ก็ต้องกังวลว่าความคิดเห็นของผมที่เผยแพร่ต่อสาธารณะจะทำให้พรรคเสียคะแนนนิยมไป บ้างก็งงว่า ทำไมผมไม่ไปคุยกันภายใน จะมาโพสสาธารณะทำไม

ทั้งหมดนี้ ผมจำเป็นต้องชี้แจงและยืนยัน ดังนี้

ประการแรก ผมไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้มีบทบาท ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจ ไม่มีอำนาจชี้นำใดๆ กับพรรคก้าวไกล การแสดงความเห็นของผม เป็นเรื่องของผมทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับพรรคก้าวไกล และการกระทำทั้งหมดของพรรคก้าวไกล ก็เป็นเรื่องของพรรคก้าวไกล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ส.ส. ส.ก. ผู้สมัคร ส.ส. หรือสมาชิกพรรค ไม่เกี่ยวกับผม

ประการที่สอง แม้ผมมีความเห็นไม่ตรงกันกับแกนนำพรรคก้าวไกลบางคน ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจหลายเรื่อง แต่ผมยืนยันว่า ผมจะไม่ไปออกสื่อ ไม่ไปสัมภาษณ์สื่อ เพื่อขยายความประเด็นเหล่านี้ให้บานปลายจนส่งผลกระทบต่อพรรคก้าวไกล

ประการที่สาม แม้ตามกฎหมายแล้ว ผมยังสามารถเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้พรรคก้าวไกลและผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคได้ แต่ผมจะไม่ร่วมเป็น “ผู้ช่วยหาเสียง” และเพื่อความสบายใจ ความชัดเจน ต่อทุกฝ่าย ในช่วงหลังประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ผมจะเดินทางไปเยี่ยมภรรยาที่ฝรั่งเศส

ส่วนชีวิตของผม ผมจะไปทำอะไรต่อนั้น ตอนนี้ยังไม่มีงานประจำครับ คงหางานฟรีแลนซ์ขีดๆ เขียนๆ ทำ หรือศึกษาทดลองจัดรายการเองทางยูทูปหารายได้เสริมต่อไป และตั้งใจว่า จะอุทิศเวลา กำลัง และสมอง ไปกับงานวิชาการ การพูด การเขียน ตามที่ถนัดและฝึกฝนมา โดยเฉพาะประเด็นกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง การเมืองเปรียบเทียบ ประวัติศาสตร์ปฏิวัติ รวมไปถึงการรณรงค์เรื่องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์และการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ นอกจากนั้น ก็คงไปสะสางต้นฉบับหนังสือที่ค้างไว้อยู่หลายเล่ม

แล้วงานการเมืองล่ะ หากหมายถึงงานการเมืองในความหมายอย่างแคบ คือ การรณรงค์หาคะแนนเสียง การเลือกตั้ง การชิงไหวชิงพริบกันในการต่อสู้เพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐนั้น ผมคงไม่มีบทบาทในเรื่องนี้ แต่ถ้างานการเมือง ในความหมายการต่อสู้ทางความคิด สร้างความคิดใหม่ สถาปนาความคิดนำใหม่ เรื่องนี้ ผมอุทิศกายใจเต็มที่แน่ผมแถลงชี้แจงครั้งนี้

สิ่งที่ผมเสียใจมีอยู่เพียง 2 ประการ หนึ่ง ทำให้ธนาธร ผิดหวัง ทำให้เขาต้องแบกรับภาระในการจัดการความสัมพันธ์ของเพื่อนมิตร สอง ทำให้ทีมงานหลายคนที่ผมไปชวนมาสร้างพรรคอนาคตใหม่ ทีมงานหลายคนที่เข้ามาร่วมงานเพราะเชื่อมั่นในตัวผม ผิดหวัง แต่การขังผมไว้อยู่ในที่แห่งนี้ ไม่มีประโยชน์ต่อใครเลย

ผมไม่สามารถทำอะไรได้ในที่แห่งนี้ เพราะข้อห้ามทางกฎหมาย แต่มากไปกว่าข้อห้ามทางกฎหมาย องค์กรแห่งนี้ ไม่ได้เปิดพื้นที่ให้ผมได้ใช้สมองและศักยภาพในเรื่องที่ผมถนัด

หากผมยังคงอยู่ต่อไป หรือหาวิธีชี้นำ/แทรกแซง ก็คงไม่ยุติธรรมกับคณะผู้นำชุดปัจจุบันเท่าไรนัก จะเกิดความไม่แน่นอนชัดเจนว่า ใครเป็นแกนนำ ใครต้องรับผิดและรับชอบ ใครเป็นผู้ชี้นำ สมควรฟังใครกันแน่ ผมคิดว่าความรู้ที่ผมพอมีอยู่น่าจะเป็นประโยชน์อยู่บ้าง หากมันไม่ถูกกักขังไว้ภายใต้กรอบของพรรคก้าวไกล

ยิ่งเกาะเกี่ยวกระเตงกันไว้ต่อไป จะยิ่งเกิดปัญหา ความชัดเจนเรื่องการนำของคณะผู้นำปัจจุบันก็ไม่เกิดขึ้น และผมก็ไม่มีพื้นที่ให้ผลักดันทำงาน นานวันเข้า passion พลัง/ไฟ ก็ค่อยๆ มอดลง ผมจึงจำเป็นต้องตัดสินใจ และชี้แจงให้สาธารณชนทราบ

ผมทราบดีครับว่า ยากที่จะให้สังคมเชื่อว่าผมกับพรรคก้าวไกลไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่ผมคงทำได้แต่เพียง ชี้แจง ยืนยัน ตามนี้ผมยังคงเชื่อมั่นว่าพรรคก้าวไกลเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศในช่วงหัวต่อหัวเลี้ยว การเมืองไทยในช่วงหัวต่อหัวเลี้ยวจำเป็นต้องมีพรรคก้าวไกล ขอให้ประชาชนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ร่วมกันสนับสนุนพรรคก้าวไกลต่อไปขอให้กำลังใจแก่ทุกคนที่เข้ามาร่วมเดินทางกับพรรคก้าวไกล และแน่นอนผมยังคงลงคะแนนเลือกพรรคก้าวไกล