‘อลงกรณ์’ขึ้นศาลให้การสู้คดีแจ้งความเท็จปี 46 ตรวจสอบอผศ.-บิ๊กสตช.ซื้อเสื้อเกราะ 2 พันตัว 32 ล้าน ศาลนัด 21-22 ส.ค.61

เมื่อวันที่6พฤศจิกายน ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสอบคำให้การและตรวจหลักฐานคดีหมายเลขดำอ.2700/2560 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายอลงกรณ์ พลบุตร อายุ 61 ปี อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่ 1 เป็นจำเลย ในความผิดฐานแจ้งความเท็จ

กรณีเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2546 นายอลงกรณ์ จำเลย ได้เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.สมควร พึ่งทรัพย์และ พ.ต.ต.ประหยัด เฮ้ารัง พนักงานสอบสวนกองปราบปรามขณะนั้นทำนองว่า พล.ต.ต.ประเสริฐ พิทักษ์ธรรม ผบก.สรรพาวุธสำนักงานส่งกำลังบำรุง สตช. (ตำแหน่งเมื่อปี2546 ปัจจุบันเกษียณราชการ) และพล.อ.ทสรฐ เมืองอ่ำ ผอ.องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก หรือ อผศ. (ตำแหน่งเมื่อปี 2546 ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ร่วมกันสมคบกันทุจริตในการจัดซื้อ เสื้อเกราะอ่อนป้องกันกระสุนจำนวน 2,000 ตัว ราคาตัวละ16,000 บาท รวม 32 ล้านบาท ซึ่งทำให้พล.ต.ต.ประเสริฐ และพล.อ.ทสรฐ ได้รับความเสียหาย โดยการจัดซื้อเสื้อเกราะป้องกันกระสุนนั้นเกิดขึ้นในช่วงปี 2546 ระหว่าง อผศ. กับ กองสรรพาวุธ สำนักงานส่งกำลังบำรุง สตช. จำนวน 2,000 ตัว เพื่อนำไปปฏิบัติงานในภาคใต้ ซึ่งระหว่างนั้น นายอลงกรณ์ พลบุตร เป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และเป็นประธานคณะทำงานตรวจสอบทุจริตของคณะกรรมการพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ทำการตรวจสอบกรณีดังกล่าว

โดยวันนี้ นายอลงกรณ์ ซึ่งได้รับการประกันตัวหลังอัยการยื่นฟ้อง ได้เดินทางมาศาลพร้อมกับนายธนิก ชินปัญจะพล ทนายความ เพื่อสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐาน

เมื่อถึงเวลานัด ศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้นายอลงกรณ์ จำเลยฟังแล้ว นายอลงกรณ์ ให้การปฏิเสธ พร้อมแถลงมีพยานบุคคลนำสืบสู้คดี รวม 2 ปาก คือนายอลงกรณ์เอง กับคณะกรรมการตรวจสอบทุจริตฯ โดยทนายความ ยังได้ยื่นเอกสารต่อสู้ประเด็นข้อกฎหมายเรื่องการฟ้องซ้ำกับมูลเหตุข้อเท็จจริงเดียวกันในคดีหมิ่นประมาทฯ ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดยกฟ้องนายอลงกรณ์ด้วย

ขณะที่อัยการโจทก์ ได้แถลงศาลเตรียมพยาน 6 ปากเพื่อนำสืบตามรูปคดี พร้อมพยานเอกสาร 26 ฉบับ อย่างไรก็ดีเมื่อศาลสอบถามนายอลงกรณ์แล้ว สามารถรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพยานซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนในการรับแจ้งความได้ อัยการโจทก์จึงจะนำสืบพยานเพียง 3 ปาก ประกอบด้วย พล.ต.ต.ประเสริฐพิทักษ์ธรรม อดีต ผบก.สรรพาวุธสำนักงานส่งกำลังบำรุง สตช. ผู้เสียหายที่ 1 , ผู้รับมอบอำนาจของผู้เสียหายที่ 1 และพนักงานสอบสวน

ทั้งนี้ศาลพิจารณาแล้วก็ให้โจทก์ – จำเลย นำสืบพยานตามแถลง โดยให้ทั้งสองฝ่ายนำสืบพยานฝ่ายละ 1 นัด โดยนัดสืบพยานโจทก์ – จำเลยในวันที่ 21 -22 สิงหาคม 2561 เวลา 09.00 น.

ภายหลังนายอลงกรณ์ น กล่าวถึงการทำหน้าที่ว่า ในส่วนของการต่อสู้คดี ได้นำผลคำพิพากษาศาลฎีกาที่ยืนตามศาลอุทธรณ์ยกฟ้องตนในคดีหมิ่นประมาทฯ (อัยการยื่นฟ้องปี 2551) อดีต ผบก.สรรพาวุธสำนักงานส่งกำลังบำรุง สตช. และ อดีต ผอ.อผศ. แสดงต่อศาลเพื่อให้เห็นข้อเท็จจริงด้วยมูลคดีเป็นเรื่องเดียวกับคดีอาญานี้ซึ่งจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเรื่องการฟ้องซ้ำ ส่วนการทำหน้าที่และเจตนาก็ยืนยันว่าขณะนั้นตนเป็น ปธ.การตรวจสอบทุจริตของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ตรวจสอบมากถึง 30-40 เรื่อง ไม่ได้กลั่นแกล้งหรือปรักปรำบุคคลใด เมื่อมีผู้ร้องเรียนเข้ามาเมื่อเห็นว่าพอที่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าน่าจะมีการกระทำก็ได้ตรวจสอบตามขั้นตอนไม่รู้สึกกังวลใจโดยช่วงที่ตนเป็นประธานคณะทำงานตรวจสอบทุจริตของคณะกรรมการพรรคร่วมฝ่ายค้าน และในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี 2544-2549 ก็ได้มีการตรวจสอบการจัดซื้อเสื้อเกราะของ สตช.ซึ่งคดีดังกล่าวเป็น 1 ใน 30 กว่าคดีที่มีการตรวจสอบ เช่น คดีทุจริตปุ๋ยปลอม ที่ได้ตรวจสอบภายหลังมีการฟ้องคดีจนเวลา 15 ปีศาลพิพากษาจำคุกรัฐมนตรีและเลขารัฐมนตรี ส่วนการตรวจสอบจัดซื้อเสื้อเกราะเวลาผ่านมา 14 ปีแล้ว

“เหมือนทุกคดีที่เราได้รับการร้องเรียน ก็ตรวจสอบเบื้องต้นถ้าเห็นว่าไม่มีมูล ไม่มีเหตุควรสงสัยก็ไม่ได้เปิดการสอบสวน นี่คือการทำหน้าที่ของ ส.ส.และพรรคร่วมฝ่ายค้าน เหมือนการทำหน้าที่ของตำรวจ อัยการ ที่สืบสวนสวนสอบสวนแล้วสั่งฟ้อง ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะทุกคดี การตรวจสอบการทุจริตก็เหมือนกัน แม้ทุกคดีเราก็คาดหวังว่าจะตัดสินลงโทษ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงก็ไม่ใช่อย่างนั้น มีปัจจัยเงื่อนไขหลายประการ แต่การทำหน้าที่ของเราคือการตรวจสอบเบื้องต้น ซึ่งก็ต้องรับความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้อง เป็นเรื่องธรรมดา แต่การพิพากษาลงโทษหรือไม่อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล”นายอลงกรณ์ กล่าว

นายอลงกรณ์ กล่าวต่อว่า เชื่อว่าการตรวจสอบการทุจริต โดยการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติมีความสำคัญในการดูแลประโยชน์ของแผ่นดินในการที่จะก่อให้เกิดธรรมาภิบาล ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง และที่มีการปฏิรูปประเทศ ให้มีการจัดตั้งศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ จะช่วยแก้ปัญหาการคอรัปชั่นได้อย่างมาก ทำให้การพิจารณาตัดสินคดีทุจริตเป็นไปโดยรวดเร็ว รุนแรง ฉับไว ทำให้ผู้ที่ประสงค์ทุจริตต่อบ้านเมือง โกงกินเงินของแผ่นดินก็จะไม่กล้า และลดน้อยลง ส่งผลต่อการบริหารราชการแผ่นดินให้ดีขึ้น