ส.อ.ท.ชี้ไทยต้องใช้อุตสาหกรรมเปลี่ยนเกมศก. ย้ำต้องการความต่อเนื่องจากทุกรัฐบาล

ส.อ.ท.ชี้ไทยต้องใช้อุตสาหกรรมเปลี่ยนเกมศก. ย้ำต้องการความต่อเนื่องจากทุกรัฐบาล

 

วันที่ 4 ตุลาคม 2565 นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน มีความผันผวนสูง ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สภาอุตสาหกรรมต้องปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม ซึ่งอุตสาหกรรมหลายอุตสาหกรรมก็ถูกดิสรัปชั่น ขณะที่ภายในประเทศก็เจอปัญหาการขาดแรงงาน เพราะสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ขณะนี้อัตราการเกิดลดลงถึง 3 แสนคน ทำให้จุดที่เคยได้เปรียบในอดีตโดยเฉพาะแรงงาน ปัจจุบันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว เพราะค่าแรงของไทยไม่ได้มีราคาถูกอีกต่อไป ทำให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศ ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยโตเพียง 3% เท่านั้น

โดยปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญปัญหา Perfect Storm หรือวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทำให้เราจำเป็นต้องปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทย ยิ่งมาเจอปัญหาเงินเฟ้อ ค่าพลังงานที่แพง สงครามรัสเซียและยูเครน ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทย ต้นทุนการผลิตก็สูงขึ้น โดยเฉพาะค่าแรงที่ปรับขึ้นเฉลี่ยทั้งประเทศ 5% เงินบาทอ่อนค่า ที่แม้จะดีต่อการส่งออกและการท่องเที่ยว แต่ในภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการนำเข้า โดยเฉพาะค่าพลังงานที่เราต้องนำเข้าถึงวันละ 9 แสนบาร์เรล ซึ่งแม้จะแพงเท่าใดแต่เราก็ยังต้องใช้เท่าเดิม

“ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น ทั้งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ส่งผลต่อต้นทุนการผลิต ยิ่งมาเจอกับการปรับขึ้นค่าเอฟที 4.7 สตางค์ ขณะที่คู่แข่งเราอย่างเวียดนาม ได้ประกาศสิ้นปีนี้ยืนค่าเอฟทีที่ 2.88 สตางค์ ทำให้อุตสาหกรรมประเภทเดียวกัน ผลิตแบบเดียวกัน แต่แค่เปิดเครื่องผลิตก็แพ้แล้ว เพราะต้นทุนต่างกัน ไม่ต้องพูดถึงการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ เพราะแค่เห็นค่าไฟนักลงทุนก็เป็นลมแล้ว

สิ่งนี้จึงเป็นปัญหาหนักของภาคอุตสาหกรรมไทย เนื่องจากโครงสร้างการผลิตของไทย ที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานในการผลิตจากต่างชาติ แต่หากเทียบกับเวียดนามที่นำเข้าเหมือนกัน และเป็นคู่แข่งโดยตรงกับไทย ก็จะพบว่าต้นทุนของเวียดนามถูกกว่าไทยเกือบครึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่สู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมา เราสู้กับทุกเหตุการณ์อยู่แล้ว นับตั้งแต่เกิดโควิด-19 เราก็ปรับตัวมาตลอด ในหลายอุตสาหกรรมก็ถูกกระทบรุนแรง และในบางอุตสาหกรรมก็ถือเป็นการใช้วิกฤตให้เกิดโอกาส” นายเกรียงไกร กล่าว

นายเกรียงไกร กล่าวว่า มีการประเมินปัจจัยแวดล้อมเพื่อเปลี่ยนเกมในอนาคต โดยปัจจุบันได้แยกอุตสาหกรรมออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.อุตสาหกรรม 45 กลุ่ม 11 คลัสเตอร์ ที่เป็นอุตสาหกรรมดั่งเดิม ซึ่งกำลังถูกดิสรัปชั่น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับตัวให้เข้มแข็งขึ้น แม้ไม่ได้หมายความว่าจะรอดก็ตาม และ 2.อุตสาหกรรมใหม่ โดยอุตสาหกรรมกลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่กำลังถูกดิสรัปชั่นเร็วๆ นี้ แต่ก็มีความภูมิใจเพราะเป็นอุตสาหกรรมที่ส่งออกอันดับ 1 ของไทยมาตลอด ซึ่งภาครัฐและเอกชนต้องจับมือกันเพื่อพลิกเกมในอนาคต ซึ่งต้องรอด

แต่จะรุ่งหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง รวมถึงความสามารถในการแข่งขันของไทยตกอันดับลงไปที่ 33 จากอันดับเดิม 28 แต่หากไปในทิศทางที่วางแผนไว้ เชื่อว่าจะไปรอดและรุ่งกว่าเดิม รวมถึงความสามารถในการแข่งขันจะเพิ่มขึ้นมาได้แน่นอน โดยการเปลี่ยนเกมประเทศไทยผ่านภาคอุตสาหกรรม เน้น 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมใหม่ (เอสเคิร์ป) 2.บีซีจี อาศัยความหลากหลายทางชีวิตภาพ ที่นำวัตถุดิบในแต่ละอุตสาหกรรมพัฒนาต่อยอดเพิ่มเติม และ 3.ความยั่งยืน หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่ไทยเป็นประเทศส่งออกเกือบ 60% ของจีดีพี ทำให้เราต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นใหม่ในการส่งออกของประเทศต่างๆ ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้ถือเป็นความแข็งแกร่งที่ไทยได้ประโยชน์

นายเกรียงไกร กล่าวว่า หากมีรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ สิ่งที่ภาคเอกชนต้องการคือ ความต่อเนื่อง หมายถึงไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ตาม อะไรที่ดีอยู่แล้วก็อยากให้ทำต่อไป ไม่ควรทำเริ่มต้นที่ศูนย์ใหม่อีกครั้ง โดยเราอยากเห็นภาครัฐและเอกชนจับมือทำงานร่วมกัน เหมือนที่ประเทศที่เป็นโมเดลและประสบความสำเร็จได้

โดยเราจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองไป แต่ต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน รวมถึงสิ่งที่พูดถึงมาตลอดคือ กฎหมายที่มีความล้าสมัย อยากให้ปรับแก้เพื่อทันสมัยมากขึ้น ปลดล็อกให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น รวมถึงออกแบบกฎหมายที่รองรับธุรกิจในอนาคตมากขึ้น เพราะบางธุรกิจ คนไทยเก่งขึ้นมาก แต่ท้ายสุดไม่สามารถทำธุรกิจในไทยได้ ต้องออกไปทำธุรกิจต่างประเทศ โดยรับรองว่าหากมีการปลดล็อกกฎหมายมากเท่าใด ธุรกิจก็ยิ่งรุ่งมากเท่านั้น