‘สมาคมนักวิเคราะห์’ หั่นจีดีพีโตเหลือ 3.09% ชี้เห็นดัชนีหุ้นสูงสุด 1,709 จุด

‘สมาคมนักวิเคราะห์’ หั่นจีดีพีโตเหลือ 3.09% ชี้เห็นดัชนีหุ้นสูงสุด 1,709 จุด

 

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (ไอเอเอ) เปิดเผยว่า ผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 25 สำนัก ทิศทางการลงทุนในไตรมาส 4/2565 โดยมี สมมุติฐานหลัก คือ การปรับลดราคาน้ำมันดิบของปีนี้ จาก 102.36  เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล  98.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ต้องลดคาดการณ์ การขยายตัวของจีดีพีไทย ปี 2565 จากเดิมที่ 3.18% ลงมาเหลือที่ 3.09% ส่วนสมมุติฐานจีดีพีปี 2566 ยังมองเป็นบวกที่ 3.86% โดยปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนในแง่บวก ได้แก่ ภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย 96% รองลงมาเป็นผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปีนี้ 92% และผลประกอบการ บจ.ปีหน้า 80%

นายสมบัติกล่าวว่า ส่วนปัจจัยที่มีผลด้านลบ ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก 100% รองลงมาทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ เท่ากันที่ 92% รวมถึงการลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ของประเทศสำคัญทั่วโลก 84% ส่วนคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (อีพีเอส) ปี 2565 ของตลาดเฉลี่ยที่ 100.36 บาท เพิ่มขึ้นกว่าผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 94.47 บาทต่อหุ้น และครั้งนี้คาดการณ์ EPS Growth ของปี 2565 อยู่ที่ 13.51% โดยคาดการณ์จุดสูงสุดของดัชนีหุ้นช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2565 เฉลี่ยที่ระดับ 1,709 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,585 จุด และเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2565 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,685 จุด ซึ่งเพิ่มขึ้น 39 จุด จากระดับคาดการณ์ไว้ครั้งก่อน อยู่ที่ 1,646 จุด

นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

  •    เงินสดและเงินฝากระยะสั้น      19.57%
  •    กองทุนตราสารหนี้                  18.91%
  •    หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย        26.30%
  •    หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ    20.43%
  •    กองทุนอสังหาฯหรือ REIT          8.83%
  •    ทองคำหรือกองทุนทองคำ           5.96%

นายสมบัติกล่าวว่า มีหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป ได้แก่ 1.ADVANC ได้ประโยชน์จากความต้องการใช้สื่อสารเพิ่มในช่วงเลือกตั้งหาเสียง ระยะกลางได้แรงหนุนจากการควบรวม 3BB, BJC 2.AOT มุมมองในระยะสั้น จากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังไทยยกเลิกระบบไทยแลนด์ พาส ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม 2565 สนับสนุนให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ราว 1.4 ล้านคน ในเดือนสิงหาคม (45% เทียบกับช่วงโควิด-19) ส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาส 4 ของปี 2564-2565 ของ AOT มีผลขาดทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และคาดมีโอกาสกลับมาทำกำไรปกติได้ใน 1-2 ไตรมาสข้างหน้า 3.BBL มองเป็นธนาคารพาณิชย์ใหญ่ที่ได้เปรียบจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 2 ในปีนี้ที่ระดับ 0.25% มาอยู่ที่ 1% 4.KBANK ปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น นอกจากนี้ การทำธุรกิจร่วมทุน JK AMC ทำให้ KBANK มี Balance Sheet ที่แข็งแกร่งมากขึ้น

นายสมบัติกล่าวว่า คำแนะนำถึงรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่เป็นนโยบายที่เพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชน เพื่อกระตุ้นการบริโภค ได้แก่ ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีก ลดภาษีบุคคลธรรมดา และการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ สนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ช่วยสภาพคล่องรักษาการจ้างงานเอสเอ็มอี รวมถึงสนับสนุนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น สุดท้ายคือ เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยสัดส่วนของการลงทุนหุ้นไทย แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร การท่องเที่ยว ขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์