อดีตผู้นำรบ.ทหารบูร์กินาฟาโซไปประเทศโตโกแล้ว หลังถูกรัฐประหารซ้ำ

อดีตผู้นำรบ.ทหารบูร์กินาฟาโซไปประเทศโตโกแล้ว หลังถูกรัฐประหารซ้ำ

 

พันโทพอล-อองรี ดามีบา ประธานาธิบดีบูร์กินาฟาโซที่มาจากการก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ และถูกรัฐประหารซ้ำโดยร้อยเอกอิบราฮิม ทราออเร เมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ได้เดินทางออกจากประเทศมุ่งหน้าไปยังประเทศโตโกแล้ว

สำนักข่าวต่างประเทศได้ยืนยันการเดินทางออกนอกประเทศของพันโทดามีบาจากการพูดคุยกับนักการทูตสองคน อย่างไรก็ดีไม่มีใครทราบว่าโตโกเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของเขาหรือไม่

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผู้นำศาสนาที่เป็นคนกลางระหว่างกลุ่มต่างๆ ระบุว่าดามีบาได้เสนอที่จะลาออกตราบเท่าที่ได้รับการปฏิบัติตามเงื่อนไขด้านความปลอดภัยและเงื่อนไขอื่นๆ ต่อมาในภายหลังสถานีโทรทัศน์ของรัฐรายงานว่า ร้อยเอกทราออเรได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประมุขแห่งรัฐอย่างเป็นทางการแล้ว

นอกเหนือจากการตกลงที่จะไม่ทำร้ายหรือดำเนินคดีกับดามีบาแล้ว เขายังขอให้ทราออเรและผู้นำรัฐบาลทหารชุดใหม่เคารพคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจแห่งรัฐแอฟริกาตะวันตก (ECOWAS) ที่ได้มีการบรรลุข้อตกลงว่าจะจัดการเลือกตั้งขึ้นในบูร์กินาฟาโซภายในปี 2024

ขณะที่ ECOWAS ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่าจะส่งทีมผู้เจรจาไกล่เกลี่ยไปยังกรุงวากาดูกูในวันที่ 3 ตุลาคมนี้ พร้อมทั้งย้ำว่าลาออกของนายดามีบามีขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าที่รุนแรงและการนองเลือดที่อาจเกิดขึ้นได้

ด้านผู้นำรัฐบาลทหารชุดใหม่ของบูร์กินาฟาโซได้เรียกร้องให้ประชาชนยุติการก่อความไม่สงบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังเหตุรัฐประหารเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยขอให้ประชาชนยุติการกระทำรุนแรงและการทำลายทรัพย์สินใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสหรือฐานทัพทหารฝรั่งเศส

ทั้งนี้ กระแสต่อต้านฝรั่งเศสได้ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังรัฐบาลทหารชุดใหม่กล่าวหาว่าอดีตประธานาธิบดีดามีบาได้เข้าไปพักพิงอยู่ที่ฐานทัพทหารฝรั่งเศสภายหลังโดนโค่นล้มจากอำนาจ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ฝรั่งเศสปฏิเสธอย่างหนักแน่น แต่ไม่สามารถที่จะห้ามไม่ให้กลุ่มผู้ประท้วงเข้าปิดล้อมสถานทูตฝรั่งเศสในกรุงวากาดูกูได้ ทำให้กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสออกมาประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที พร้อมทั้งขอให้พลเมืองฝรั่งเศสที่บูร์กินาฟาโซอยู่ในความระมัดระวัง

การปฏิวัติยึดอำนาจครั้งที่ 2 ของบูร์กินาฟาโซในรอบปีนี้ทำให้เกิดความหวั่นวิตกว่า ความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศอาจทำให้การให้ความสำคัญกับการจัดการกับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงที่คร่าชีวิตผู้คนไปหลายพันคน และทำให้ผู้คนกว่า 2 ล้านคนคนต้องละทิ้งบ้านเรือนของตนเองถูกลดความสำคัญลง