‘เศรษฐา’ ซัดขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มภาระหนี้ หนุนเก็บภาษีที่ดินต้องทำสิ่งถูกต้อง ไม่ใช่ถูกใจ

‘เศรษฐา’ ซัดขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มภาระหนี้ หนุนเก็บภาษีที่ดินต้องทำสิ่งถูกต้อง ไม่ใช่ถูกใจ

 

วันที่ 29 กันยายน 2565 เวลา 11.20 น. ที่โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ หนังสือพิมพ์มติชน จัดเสวนา หัวข้อ “ท้าชน PERFECT STORM ทางรอดเศรษฐกิจไทย” โดย นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดมุมมองหัวข้อ “จับทิศเศรษฐกิจ-สังคมไทย ในพายุวิกฤต” ว่า กว่า 2 ปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดมากยิ่งขึ้นว่าเรื่องเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ ปากท้องป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทยเวลานี้ ส่วนเรื่องของภาวะเงินเฟ้อก็ได้มีการขึ้นดอกเบี้ยไปส่วนหนึ่งแล้ว

“ผมอาจจะให้ข้อคิดที่ต่างนิดหนึ่ง หากเราอ่านในสื่อในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแตะขึ้นไปที่ 38 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อยากจะให้ย้อนไปดูตอนวิกฤตต้มยำกุ้งที่เงินบาทมีการอ่อนไปมากกว่านี้มากและเราได้มีการฟื้นกลับมาเพราะเรื่องของส่งออกและการท่องเที่ยว” นายเศรษฐากล่าว

นายเศรษฐากล่าว่า ช่วงปี 2540 เรื่องที่เราไม่ได้เจอคือหนี้ครัวเรือนที่สูงมาก เป็นปัญหาใหญ่มากที่สุดในสังคมไทยปัจจุบัน ทำให้กดกำลังซื้อและทำให้ความเป็นอยู่ไม่ดี หากไปดูเรื่องของเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นนั้น หนี้ไม่ได้เฟ้อตาม การขึ้นดอกเบี้ย แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น หนี้ก็เพิ่มขึ้น เพราะเงินเฟ้อที่สูง 6-7 % ไม่ได้ทำให้มูลค่าหนี้ที่กู้อยู่เพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญมากกว่านั้นคือต้องเพิ่มรายได้ให้ได้ ถ้าเราขึ้นดอกเบี้ยมากเกินไปจะเป็นภาระของกลุ่มชนชั้นน้อยที่มีวงเงินกู้อยู่มาก หากปล่อยให้ค่าเงินบาทอ่อนไปจะทำให้การท่องเที่ยว การส่งออกจะดีขึ้น ทำให้คนมีรายได้สูงขึ้น การมีรายได้สูงขึ้นแต่มูลค่าหนี้เท่าเดิม สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีอาจจะลดลงก็พอไปได้

เมื่อถามว่าการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและภาษีต่างๆ จะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า เรื่องภาษีเป็นเรื่องที่บอบบางและอ่อนไหวพอสมควร แต่เชื่อว่าภาษีเป็นเครื่องมือทางการคลังนำมาซึ่งความเสมอภาคทางสังคม ถ้าใช้ทรัพยากรของประเทศมากก็ต้องจ่ายภาษีมาก เป็นเรื่องของสัญลักษณ์กับนัยยะ

“กรณีภาษีมรดกในช่วงที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเข้ามาช่วงแรก มีการดำเนินการภาษีมรดก โดยเก็บ5% ลองคิดดูว่าภาษีมรดกต่อปีเงินเข้ารัฐเท่าไหร่ ไม่กี่ร้อยล้านบาท ถือเป็นการทำเชิงสัญลักษณ์ แต่ในเชิงนัยยะกระทบน้อยมากต่อรายได้ของประเทศ นี่ก็เป็นข้อคิดหนึ่ง” นายเศรษฐากล่าว

นายเศรษฐากล่าวว่า ส่วนภาษีที่ดินฯ เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าจากการที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เสนอไป แต่ทางรัฐบาลไม่เห็นด้วย ซึ่งผมรู้สึกผิดหวังมาก เพราะการเก็บภาษีต้องเก็บกับภาคส่วนที่สามารถเก็บได้ไม่ใช่ภาคส่วนที่เปราะบาง เรื่องของ Capital Gain Tax (ภาษีซื้อขายหุ้น) ของตลาดหุ้นก็เป็นเรื่องอ่อนไหวเช่นกัน เมื่อไหร่ที่หุ้นดีมากๆ ตลาดดีมากๆ ก็ฉายหนังผีหลอกบอกว่าจะเก็บภาษี แต่ไม่มีการเก็บเสียที คนที่เล่นหุ้นคือคนชนชั้นกลางและคนชนชั้นสูง ซึ่งสามารถจ่ายภาษีได้

อย่างไรก็ตามยอมรับว่าตลาดทุนประเทศไทยยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเก็บภาษีซื้อขายหุ้น เพราะต้องมีการพัฒนาระบบจัดเก็บ ความเป็นไปได้ในการจัดเก็บก็ลำบาก แต่มีอีกหลายวิธีที่สามารถจัดเก็บเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเล่นหุ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น Transition Tax ทุกๆครั้งที่มีการซื้อขายหุ้น ผมคิดว่านี่เป็นการเก็บที่มีนัยยะไม่ใช่เชิงสัญลักษณ์ บางเรื่องต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องบ้าง ไม่ใช่ทำในสิ่งที่ถูกใจเสมอ