สมคิด เปิดใจ ถึงอนาคตการเมือง ลั่นจริงๆตั้งใจจะเลิกเล่นแล้ว เชื่อแค่มี 2 พรรคใหม่จะเป็นตัวเปลี่ยนสมการการเมืองได้

สมคิด ชี้ 30 ก.ย. ศาลตัดสินอย่างไรอยู่ที่ประชาชน ต้องมีการเลือกตั้ง เชื่อแค่มี 2 พรรคใหม่จะเป็นตัวเปลี่ยนสมการการเมืองได้ พร้อมเอาโครงการประชารัฐมาต่อยอดแน่

เมื่อวันที่ 28 ก.ย.2565 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) กล่าวถึงการตั้งพรรคสร้างอนาคตไทยว่า จริงๆตนตั้งใจจะเลิกเล่นการเมืองแล้ว แต่ชีวิตเปลี่ยนไป สุขภาพดีขึ้น ในช่วง 2 ปีตนมีโอกาสพัก แต่ลูกน้องเขาอยากทำต่อและตนได้เห็นถึงความตั้งใจของเขาในการเริ่มทำหลายอย่าง จนไปตั้งพรรคกันแล้ว เขามาขอให้ตนไปเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้ ซึ่งตนก็ไม่ได้รับปาก แต่เชื่อว่าสถานการณ์การเมืองเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะอยู่แค่เบื้องหลัง

ตนอยากสร้างพรรคที่ดี การสร้างพรรคไม่ใช่เป็นเรื่องยาก แต่การจะสร้างพรรคที่ดีและให้คนใหม่ๆ ที่ตั้งใจทำงานและปราศจากการครอบงำ ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้เราบอกว่าเราเป็นประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยของเรา มันไม่มีส่วนร่วม และไม่สามารถกำหนดชะตาของบ้านเมืองได้ จึงกลายเป็นเกมการเมืองเกมหนึ่ง เมื่อไม่มีทุนก็ไม่มีส.ส. พอไม่มีส.ส.ก็ไม่มีเสียงในสภา และไม่มีสิทธิ์มาบริหารประเทศ คนดีคนเก่งก็ไม่อยากจะเข้ามา จริงๆ แล้ว ประเทศไทยสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ แต่มีสิ่งเหล่านี้ที่ฝังลึกในระบบ ก็เป็นไปได้ยาก ถึงแม้มีรัฐบาลที่มีความเบ็ดเสร็จมาแล้วก็ตาม

เมื่อถามว่าในช่วงต้นของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือเป็นคนริเริ่มโครงการประชารัฐ ไปอยู่พรรคใหม่จะเอาเรื่องนี้ไปทำหรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า ตนไม่สนใจว่าจะอยู่พรรคไหน แต่ตนเป็นคนคิดนโยบายเรื่องนี้ขึ้นมา ก็จะใช้ให้เกิดประโยชน์กับทุกคน ส่วนสวัสดิการประชารัฐ เราจะรู้ดีว่าคนจนมีมาก และขณะนั้นเราทำพร้อมเพย์ นำเงินจากรัฐบาลไปยังประชาชนได้โดยตรง แต่เราช่วยได้เท่าที่ศักยภาพการคลังของเราเอื้ออำนวย อย่างน้อยมันเป็นจุดเริ่มต้นและต้องก้าวต่อไปด้วย

ฉะนั้น ถ้าตนจะใช้ต่อ ตนก็มีสิทธิ์ใช้ได้ แต่จะไม่ใช้พร่ำเพรื่อ จะใช้มันเหมือนเป็นการต่อยอด ดังนั้น ของดีจะของใครต้องรักษาไว้ เพราะคนที่ได้ประโยชน์คือประชาชน และตนไม่ได้เคลมว่าสิ่งนั้นเป็นของตน

เมื่อถามว่านโยบายที่นายสมคิด คิดมานั้น ตอนนี้เหมือนหลงทางหรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า ไม่ได้หลงทาง แต่เป็นเรื่องการเอาใจใส่ เนื่องจากการบริหารของประเทศ ใช่ว่าสั่งแล้วจะได้เลย แต่เชื่อว่าโอกาสของเรามีมาก แต่ข้อกำจัดก็มากเช่นกัน ดังนั้น ที่บอกว่าจะปฏิรูป ไม่ใช่ว่าจะปฏิรูปเลือกตั้งอย่างไร เพราะเลือกตั้งไปก็มีการซื้อเสียงกันอยู่ดี

แต่หัวใจของการปฏิรูปคือ การปฏิรูปงานบริหารราชการแผ่นดิน การศึกษา หรือปฏิรูปกฎหมายที่ล้าหลัง แต่นี่คือสัจธรรม คนดีไม่เข้าสนามการเมืองและสนามการเมืองกลายเป็นสนามอะไรก็ไม่รู้ ดังนั้น ถ้าเราจะไม่ยุ่งกับการเมือง หรือ มองว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรก คุณบ่นได้คนเดียว อย่าบ่นดังๆ เพราะการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ฉะนั้น อยู่ประเทศต้องอดทนหน่อย

เมื่อถามว่าวันที่ 30 ก.ย.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยวาระนายกฯ 8 ปีของพล.ประยุทธ์ นายสมคิด กล่าวว่า จะตัดสินอย่างไรก็อยู่ที่ประชาชน อย่างไรก็ต้องมีเลือกตั้ง และถ้าคุณยังเลือกตั้งโดยไม่ดูอะไรเลย สมการการเมืองจะไม่เปลี่ยน ซึ่งเอาคะแนนเสียงมาเรียงแล้ว ถามว่ามีพรรคไหนจัดตั้งรัฐบาลได้
ดังนั้น ด้วยโครงสร้างแบบนี้ ถ้าจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็ต้องเลือกนายกฯได้ แต่ถ้าไม่ได้นายกฯ ก็ต้องอาศัยพรรคอื่น ถ้าพรรคอื่นที่ว่านั้นไม่มีพรรคใหม่ๆขึ้นมาเลย ก็จะเป็นเหมือนเดิม

ดังนั้น มันอยู่ที่มือของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย อาวุธที่สำคัญของประชาชนคือการเลือกตั้ง เราต้องเลือกตั้งเพื่อให้เปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น

นายสมคิด กล่าวว่า ถ้าตั้งพรรคใหม่ได้สัก 2 พรรค ที่มีจำนวนส.ส.พอสมควร แล้วบังเอิญทำให้สมการทางการเมืองต้องอาศัยพรรคเหล่านี้ เชื่อว่าการเมืองจะเปลี่ยน แต่ที่สมการการเมืองไม่เคยเปลี่ยน เพราะไม่มีตัวแปรใหม่ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ตนจึงตั้งใจเมื่อเห็นน้องๆสร้างพรรคที่ดี แต่ถ้าไม่ได้ ก็กลับไปสู่ความสุขของตน ตนคิดว่าการที่ออกจากรัฐบาลชุดที่แล้วเป็นการจากกันด้วยดี