ศาลแพ่งยกฟ้อง บิ๊กตู่-พวก ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลเเพ่ง​ยกฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ กับพวก ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ชอบด้วยกฎหมาย​ ชี้ใช้อำนาจรักษาความมั่นคงของรัฐ ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ

เมื่อวันที่ 26 กันยายน ที่ศาลแพ่ง​ ถนนรัชดาภิเษก​ ศาล​นัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่นักกิจกรรมและนักศึกษา​ รวม 7 คนร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง เป็นจำเลยที่ 1-6 ตามลำดับ จากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ช่วงระหว่างวันที่ 15-22 ต.ค. 2563

ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงดังกล่าวเป็นการประกาศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีสาเหตุในการประกาศเพียงพอ เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจตามอำเภอใจในการสลายการชุมนุม ประกาศปิดสถานที่และระบบขนส่งมวลชน จับกุมประชาชน สื่อมวลชน และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงห้ามการเสนอข่าวสารของสื่อมวลชน

คดีนี้กลุ่มนิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินการฟ้องร้องตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2563 โดยขอให้ศาลแพ่งสั่งเพิกถอนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และประกาศที่เกี่ยวเนื่อง พร้อมชดเชยค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งเจ็ดคน คนละ 500,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหาย 3.5 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับจากวันฟ้อง

โดยนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้ มี​ น.ส.ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ นิสิตคณะครุศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมทนายมารับฟังการอ่านคำพิพากษา

น.ส.ศุกรียา ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าไปรับฟังคำพิพากษา ระบุว่า เวลาผ่านมานาน 2 ปีแล้ว ด้วยกระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้า แม้ตอนนี้กำลังจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ตาม แต่เวลาที่ผ่านมาความเสียหายมันเกิดขึ้นไปแล้ว รวมไปถึงยังไม่มีใครได้รับการชดเชยจากความเสียหายที่เกิดขึ้น มีคนติดคุกทั้งจากคดีเกี่ยวกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและมาตราอื่นๆ จึงอยากให้สังคมสนใจและให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นกับคนเหล่านี้

“สิ่งที่ควรจะทำทันทีหลังจากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินคือปล่อยตัวผู้ที่โดนคดีทันที พร้อมชดเชย เยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างความเป็นธรรม ตนเองยืนยันในความเสียหายที่เกิดขึ้น เราต่างก็รู้ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินมันไม่ได้มีไว้เพื่อควบคุมโรคแล้ว มีไว้เพื่อควบคุมเรื่องที่เกี่ยวกับการเมือง ซึ่งก็ควรมีมาตรการต่อไปว่าในอนาคตมันจะเป็นอย่างไร” น.ส.ศุกรียากล่าว

ส่วนกรณีศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้ นางสาวศุกรียาระบุว่า ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะคดี พ.ร.บ.ชุมนุมก็เพิ่งจะแพ้มา แต่ก็หวังลึกๆ ว่าศาลแพ่งอาจจะไม่เหมือนที่อื่น ส่วนการที่ศาลยกฟ้องนั้น เราก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ แค่ผิดหวังมากกว่า

ภายหลังจากศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาและมีคำพิพากษายกฟ้อง

น.ส.ศุกรียาระบุว่า ศาลพิพากษายกฟ้อง จากการกระทำทั้งหมดจำเลยที่ฟ้องไป ศาลเห็นว่าเป็นไปตามอำนาจและหน้าที่เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ รวมไปถึงการสลายการชุมนุมในช่วงวันที่ 14-16 ตุลาคม 63 ไม่ได้เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และสมเหตุสมผล ส่วนการสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวันก็เป็นพื้นที่ของบุคคลสำคัญ จึงต้องรักษาความปลอดภัย