“จาตุรนต์” ห่วงกกต.ออกข้อห้ามช่วง 180 วัน หวั่นเป็นการเลือกปฏิบัติ ชี้ทำให้ชัด อย่าซ้ำรอยเลือกตั้งปี 62

อดีตรองนายกฯ เตือน กกต. อย่าให้ข้อกำหนด 180 วันก่อนครบอายุสภา กลายเป็นเครื่องมือเลือกปฏิบัติ สร้างความได้เปรียบ-เสียเปรียบ ชี้ผู้สมัคร ส.ส.-พรรคการเมือง ทำอะไรเจอติดขัดสารพัด แต่ไม่ห้ามรัฐบาลใช้งบประมาณ-โยกย้ายข้าราชการ

 

วันที่ 22 กันยายน 2565 จาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทยและอดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตต่อประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่กำหนดสิ่งที่กระทำได้หรือไม่ได้ ในช่วง 180 วันก่อนครบอายุสภา พร้อมกับที่ได้ประกาศกำหนดการจัดการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นราวเดือนพฤษภาคม ปี 2566 ว่า

180 วันก่อนครบอายุสภา ห้ามใคร ไม่ห้ามใคร อย่าให้เลวร้ายเหมือนเลือกตั้งปี 62

ที่ถกเถียงกันอยู่เรื่อง 180 วัน ก่อนหมดอายุสภา คนที่จะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.กับพรรคการเมืองและรัฐบาลทำอะไรได้แค่ไหน ความจริงก็มีประเด็นที่ควรจะทำให้เกิดความถูกต้องชัดเจน

ว่าที่ผู้สมัครและพรรคการเมืองทำอะไรได้แค่ไหนนั้น มีเรื่องที่กกต.อาจทำให้เป็นปัญหาอยู่ 3 ส่วนคือ

1.การห้ามทำกิจกรรมทางสังคมหรือศาสนาจนเกินสมควร ทำให้ผู้ที่เป็นว่าที่ผู้สมัครไม่เป็นผู้เป็นคน เป็นตัวประหลาดในสังคม เช่น มีงานศพจะส่งหรีดก็ไม่ได้ ช่วยงานหรือร่วมทำบุญก็ไม่ได้ มีงานบุญจะทำบุญก็ไม่ได้ กลายเป็นซื้อเสียงไปเสีย

การห้ามในสิ่งเหล่านี้เป็นการทำลายประเพณีที่ดีทางสังคม ขัดขวางการทำกิจกรรมทางศาสนาที่จริงๆแล้วรัฐไม่ควรก้าวล่วง ความจริงจะกำหนดวงเงินไม่ให้เกินความเหมาะสมไว้ก็ได้ แต่ที่ผ่านมากกต.ก็มักจะตีความในทางสุดโต่งไม่คำนึงถึงวัฒนธรรมประเพณีและสิทธิเสรีภาพที่รวมทั้งการทำกิจกรรมทางศาสนา

ผู้สมัคร สส.บางคนถูกจับแพ้ฟาวล์เพราะใส่ซองทำบุญ 2,000 บาท จนไม่ได้เป็นสส.ไปหนึ่งสมัยทั้งๆที่ต่อมาศาลตัดสินว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไรเลยก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

เลวร้ายกว่านั้นก็คือการดูถูกประชาชนคนไทยว่าคิดอะไรไม่เป็น ได้เงินใส่ซองช่วยงานบวชงานศพก็ต้องเลือกคนนั้นแล้ว

2. ในส่วนของพรรคการเมือง ที่จะเป็นปัญหามากคือการไปจำกัดขัดขวางกิจกรรมที่ไม่ใช่เป็นการหาเสียง แต่เป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและต่อการพัฒนาระบบพรรคการเมือง เช่น กิจการที่สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายพรรคการเมือง รัฐธรรมนูญหรือสิทธิเสรีภาพ เป็นต้น รายจ่ายสำหรับกิจกรรมในเรื่องเหล่านี้ไม่ควรนับเป็นกิจกรรมหาเสียง แต่ถ้า กกต.นำมาคิด ก็จะทำให้พรรคการเมืองต้องงดกิจกรรมเหล่านี้เพื่อเหลือวงเงินไว้ใช้ในการหาเสียง

3. สำหรับรัฐบาลนั้น ที่เป็นปัญหามากที่สุดคือจะบังคับให้รัฐบาลเริ่มปฏิบัติตนเหมือนเป็นรัฐบาลรักษาการตั้งแต่เมื่อไหร่ ปรกติเมื่อยุบสภาแล้วก็ควรห้ามรัฐบาลอนุมัติงบประมาณและแต่งตั้งโยกย้ายโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากกกต. ซึ่งจะเป็นเวลาไล่เลี่ยกับการห้ามว่าที่ผู้สมัครสส.หาเสียงด้วยวิธีต่างๆหลังจากประกาศราชกิจานุเบกษากำหนดวันเลือกตั้งแล้ว แต่พอห้ามว่าที่ผู้สมัครหาเสียงล่วงหน้าถึง 180 วัน แต่ไม่ห้ามรัฐบาลใช้งบประมาณและแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการได้ตามใจชอบก็กลายเป็นความลักลั่น ได้เปรียบเสียเปรียบกันอย่างมาก

ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ลูกน้องบริวารของพลเอกประยุทธ์ได้เขียนรัฐธรรมนูญไว้ให้ยกเว้นหลักการการเป็นรัฐบาลรักษาการของพลเอกประยุทธ์ ทำให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์สามารถแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและอนุมัติและใช้งบประมาณได้อย่างไม่จำกัด ไม่เหมือนที่เคยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ทำให้พลเอกประยุทธ์กับพวกใช้งบประมาณหลายหมื่นล้านหาเสียงได้อย่างสบาย เช่น การจ่ายเงินในโครงการที่มีชื่อพ้องกันกับพรรคการเมือง และสนับสนุนให้นักการเมืองในพรรคการเมืองที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์สามารถอวดอ้างหาเสียงจาการใช้งบประมาณของรัฐบาลอย่างโจ่งแจ้งด้วย

ที่ถกเถียงกันอยู่จึงมีประเด็นที่ต้องทำให้ถูกต้อง อย่าให้เกิดปัญหามากอย่างที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วอีกเลยครับ