รัฐบาลเร่งเปิดรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง ปี’65 ยกระดับเดินทาง-อำนวยความสะดวกปชช.

โฆษกรัฐบาล เผย เตรียมเปิดบริการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง ปี’65 ยกระดับเดินทาง-อำนวยความสะดวกประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพขนส่งและโลจิสติกส์

 

วันที่ 19 ก.ย. 65 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งพัฒนาขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานระบบรางของประเทศ ตามนโยบายเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมอย่างเป็นระบบ

เพื่อยกระดับการเดินทางให้สะดวกรวดเร็ว และแก้ปัญหาการจราจรที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและโลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุนการขนส่งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

โดยโครงข่ายรถไฟทางไกล รองรับการขนส่งจากถนนสู่ระบบราง และจากทางเดี่ยวสู่ทางคู่ ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 7 เส้นทาง ระยะทาง 985 กิโลเมตร มีเส้นทางที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว 2 เส้นทาง

คือ 1. ช่วงชุมทางฉะเชิงเทรา – ชุมทางคลองสิบเก้า – ชุมทางแก่งคอย ระยะทาง 106 กิโลเมตร เปิดให้บริการแล้วเมื่อปี 2562

และ 2. ช่วงชุมทางถนน จิระ – ขอนแก่น ระยะทาง 187 กิโลเมตร เปิดบริการเมื่อปี 2563 ส่วน 5 เส้นทางที่เหลือคาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2565 นี้

นายอนุชา กล่าวว่า การก่อสร้าง 5 เส้นทาง ได้แก่ 1. ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 145 กิโลเมตร 2. ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 135 กิโลเมตร 3. ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 169 กิโลเมตร 4. ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทางรวม 76 กิโลเมตร และ 5. ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทางรวม 167 กิโลเมตร

เมื่อดำเนินการก่อสร้างเสร็จแล้ว จะเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย ในการเดินทาง และการขนส่งสินค้า รวมถึงเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมพื้นฐานด้านอื่นของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

นายอนุชา กล่าวว่า โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ตามนโยบาย ถือเป็นการยกระดับการเดินทาง เพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งระบบราง ลดต้นทุนการขนส่งระบบโลจิสต์ติก เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรถไฟ ลดระยะเวลาในการเดินทาง เช่น เดินทางโดยรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปยังสถานีหัวหิน ใช้เวลา2 ชั่วโมงครึ่งจาก 5 ชั่วโมง

ช่วยประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง ลดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงเครือข่ายการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชน สินค้าและบริการ ทั้งในพื้นที่ชนบท เมือง และประเทศเพื่อนบ้าน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน