สรุปข่าวต่างประเทศ : เกาหลีเหนือไม่เจรจาปลดอาวุธ / ไคโรอียิปต์ “เมืองอันตรายที่สุดในโลก”สำหรับผู้หญิง

เกาหลีเหนือ

เปียงยาง – สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เกาหลีเหนือออกมาประกาศต่อที่ประชุมสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ว่า เกาหลีเหนือจะไม่ยอมเจรจาเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์จนกว่าสหรัฐอเมริกาจะยกเลิกนโยบายที่เป็นปฏิปักษ์

โดย นายคิม อิน รยอง อัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ กล่าวต่อคณะกรรมาธิการว่าด้วยการลดอาวุธของสมัชชาใหญ่ยูเอ็น ว่า สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีได้ถึงจุดวิกฤตแล้ว และสงครามนิวเคลียร์สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา

“เราจะไม่ยอมเจรจาเรื่องอาวุธนิวเคลียร์และเรื่องจรวดขีปนาวุธ ไม่ว่ากรณีใดๆ จนกว่านโยบายที่เป็นปฏิปักษ์และการคุกคามทางนิวเคลียร์ของสหรัฐจะหมดสิ้นไป” นายคิมกล่าว

นายคิม ยังกล่าวถึงการทดลองขีปนาวุธหลายต่อหลายครั้งและการทดลองนิวเคลียร์ถึง 6 ครั้งของเกาหลีเหนือว่า เกาหลีเหนือได้ผ่านประตูด่านสุดท้ายเพื่อก้าวสู่การเป็นมหาอำนาจทางนิวเคลียร์ และการใช้นิวเคลียร์ในการโจมตี พร้อมระบุด้วยว่า แผ่นดินสหรัฐอยู่ในพิสัยของการยิง และหากสหรัฐกล้าที่จะรุกรานดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่นิ้วเดียว สหรัฐจะไม่สามารถหลีกหนีบทลงโทษอย่างร้ายแรงจากเกาหลีเหนือไม่ว่าจะอยู่ที่ส่วนใดของโลก

อียิปต์

ไคโร – สำนักรอยเตอร์รายงานว่า จากการสำรวจของธอมป์สัน รอยเตอร์ส ฟาวน์เดชั่น ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ 380 คนสำรวจสภาพในมหานครหรือเมืองใหญ่ทั่วโลกที่มีประชากรมากกว่า 10 ล้านคนขึ้นไปจากการกำหนดของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่าปัจจุบันมหานครใหญ่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นมาเป็น 31 แห่ง หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งการสำรวจครั้งนี้เป็นการสำรวจในประเด็นผู้หญิง ที่ครอบคลุมในเรื่องความรุนแรงทางเพศ การได้รับการปฏิบัติทางประเพณีวัฒนธรรม การเข้าถึงสาธารณสุขและโอกาสทางการเงิน

ในแง่ของเมืองใหญ่ที่อันตรายที่สุดในโลกสำหรับผู้หญิงคือ กรุงไคโรของอียิปต์ ที่การปฏิบัติต่อผู้หญิงยิ่งเลวร้ายนับจากเกิดปรากฏการณ์อาหรับสปริงในปี 2554 โดยเมืองใหญ่ที่อันตรายที่สุดรองลงมาได้แก่ กรุงคินชาซา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ครองอันดับร่วมกับนครการาจีของปากีสถาน ตามมาด้วยมหานครเดลีของอินเดีย, กรุงลิมาของเปรู, กรุงเม็กซิโกซิตี้ของเม็กซิโก, กรุงธากา บังกลาเทศ, กรุงลากอส ไนจีเรีย, กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย และนครอิสตันบูลของตุรกี

ส่วนเมืองใหญ่ที่มีปัญหาความรุนแรงทางเพศเลวร้ายที่สุดสำหรับผู้หญิง มหานครเดลีของอินเดีย และนครเซาเปาลูของบราซิล ครองที่ 1 ร่วมกัน โดยเดลี ยังได้ชื่อว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งการข่มขืน” ของประเทศอินเดีย

ด้านกรุงลอนดอนของอังกฤษ ถูกยกเป็นเมืองใหญ่ที่เป็นมิตรต่อผู้หญิงมากที่สุดในโลก ตามมาด้วยกรุงโตเกียว และกรุงปารีสของฝรั่งเศส และกรุงโตเกียวของญี่ปุ่นยังถูกยกเป็นเมืองใหญ่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลกสำหรับผู้หญิงด้วยจากการไร้ความเสี่ยงภัยด้านความรุนแรงทางเพศ เช่น การข่มขืน ทำร้ายและการคุกคามทางเพศ ส่วนลอนดอนอยู่อันดับ 5

โซมาเลีย

โมกาดิชู – สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม บรรดาผู้นำโลกตั้งแต่สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา ต่างออกมาประณามเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในโซมาเลียเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นการโจมตีครั้งรุนแรงที่สุดของประเทศที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 270 ราย โดยเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม เกิดขึ้นที่แยกเค 5 ในย่านการค้าโฮดานที่พลุกพล่านจอแจในกรุงโมกาดิชู ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้า โรงแรม และธุรกิจต่างๆ โดยมีคนจำนวนหลายร้อยอยู่ในพื้นที่ในช่วงที่เกิดระเบิดขึ้น

กระทรวงต่างประเทศสหรัฐออกแถลงการณ์ประณามการระเบิดครั้งนี้ “อย่างรุนแรงที่สุด” ขณะที่ นายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษระบุว่า อังกฤษ “ขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการโจมตีอย่างขี้ขลาดในกรุงโมกาดิชู ที่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก”

ด้าน นายเอ็มมานูแอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสทวีตข้อความว่า “ขอเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับโซมาเลีย และให้การสนับสนุนสหภาพแอฟริกันในการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย” ส่วนนายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด ของแคนาดา ทวีตข้อความว่า “การโจมตีในโซมาเลียนั้นน่าหวาดกลัวมาก แคนาดาขอประณามอย่างรุนแรง”

ประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด อับดุลลาฮี ฟาร์มาโจ ของโซมาเลีย ประกาศให้มีการไว้อาลัยทั่วประเทศเป็นเวลา 3 วัน ด้าน นายอิบราฮิม คาลิน โฆษกของประธานาธิบดี เรเจพ เทยิพ แอร์โดอาน ของตุรกี เปิดเผยว่า รัฐบาลตุรกีได้ส่งเครื่องบินบรรทุกยาและเวชภัณฑ์เข้าให้ความช่วยเหลือแล้ว รวมถึงจะมีการนำตัวผู้บาดเจ็บไปรักษาที่ตุรกีด้วย

ทั้งนี้ ยังไม่มีกลุ่มไหนออกมาอ้างว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ แต่อัลชาบับ กลุ่มติดอาวุธที่มีความเชื่อมโยงกับอัลเคด้า ได้ก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในโซมาเลียมาแล้วหลายสิบครั้งโดยมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาลโซมาเลียที่ได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติ