เปิดภาพอานุภาพ ‘หินหนามหน่อ’ เกาหลีใต้ 2 หมื่นหลังคาเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้

ไต้ฝุ่นหินหนามหน่อที่พัดขึ้นฝั่งทางตอนใต้ของเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา ทำให้ต้องมีการอพยพประชาชนหลายพันคนออกจากพื้นที่เสี่ยง ขณะที่ฝนซึ่งตกลงมาอย่างหนักและลมกระโชกแรงได้พัดทำฃายต้นไม้ เสาไฟ และถนนหนทาง ทั้งยังทำให้บ้านเรือนประชาชนกว่า 2 หมื่นหลังคาเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้

กระทรวงกิจการภายในและความปลอดภัยของเกาหลีใต้ระบุว่า มีชายคนหนึ่งหายไปหลังตกลงไปในกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่เกิดขึ้นจากฝนตกหนักที่เมืองอุลซาน แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีรายงานไฟไหม้ที่โรงงานเหล็กขนาดใหญ่ของบริษัทโพสโก้ในเมืองโปฮัง แต่ยังไม่ชัดเจนว่าอุบัติเหตุดังกล่าวมาจากไต้ฝุ่นหรือไม่

Yonhap via REUTERS

ทางการเกาหลีใต้ประกกาศเตือนภัยทั่วประเทศถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากอุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นยักษ์ที่มาพร้อมกับไต้ฝุ่นหินหนามหน่อ ซึ่งถูกระบุว่าเป็นพายุที่รุนแรงที่สุดที่พัดถล่มเกาหลีใต้ในรอบหลายปี

Yonhap via REUTERS.

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของเกาหลีใต้ระบุว่า ไต้ฝุ่นหินหนามหน่อซึ่งทำให้เกิดฝนตกหนักและลมกระโชกแรง พัดด้วยความเร็วถึง 144 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือสู่ทะเลเปิด หลังพัดผ่านทางตอนใต้ของเกาะเชจู ก่อนจะขึ้นฝั่งที่ใกล้กับท่าเรือหลักของเมืองปูซานเมื่อช่วงเช้าวันที่ 6 กันยายนนี้

Yonhap via REUTERS

หินหนามหน่อทำให้เกิดฝนตกหนักมากกว่า 94 เซ็นติเมตรในตอนกลางของเชจูตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน โดยเคยมีระดับความเร็วลมสูงสุดถึง 155 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ก็มีรายงานเช่นกันว่าในบางเวลาไต้ฝุ่นหินหนามหน่อพัดด้วยความเร็วถึง 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Yonhap via REUTERS

กระทรวงความปลอดภัยระบุว่า มีประชาชนกว่า 3,400 คนในภาคใต้ของประเทศที่ต้องอพยพจากบ้านเรือนเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัย ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้แนะนำให้อพยพผู้คนอีกอย่างน้อย 1.4 หมื่นคน มีอาคารอย่างน้อย 5 หลังและถนนอีกหลายสายที่ได้รับความเสียหาย

AFP

นอกจากนี้โรงเรียนมากกว่า 600 แห่งทั่วเกาหลีใต้ถูกปิดหรือปรับเป็นชั้นเรียนออนไลน์ เที่ยวบินถูกยกเลิกมากกว่า 250 เที่ยวบิน เช่นเดียวกับท่าเรือข้ามฟาก 70 แห่งที่ระงับการให้บริการ และมีเรือประมงมากกว่า 6.6 หมื่นลำที่ต้องจอดเทียบท่า

AFP

ล่าสุดในเวลา 06.00 น. ของวันนี้ เจ้าหน้าที่สามารถแก้ไขให้ไฟฟ้าใน 2,795 ครัวเรือน จาก 20,334 ครัวเรือนกลับมาใช้งานได้ตามปกติแล้ว