ซินหัวตีข่าวชู ‘ระบอบจีน’-โจมตีประชาธิปไตยตะวันตก ก่อนประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์

วันที่ 17 ตุลาคม 2560 สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า สำนักข่าวซินหัวของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนออกข่าวโจมตีแนวคิดประชาธิปไตยแบบตะวันตกว่า นำไปสู่การแบ่งแยกและการเผชิญหน้ากัน พร้อมกับชื่นชมความเป็นธรรมชาติอันกลมเกลียวและร่วมมือกันของระบอบการเมืองแบบจีน

โดยซินหัวได้นำเสนอบทวิจารณ์ขนาดยาวเป็นภาษาอังกฤษ ที่มีชื่อว่า “เสรีประชาธิปไตยแบบตะวันตกกำลังจมปลักกับวิกฤตและความโกลาหล” (crises and chaos swamp(ing) Western liberal democracy) มีเนื้อหาระบุว่า “พรรคคอมมิวนิสต์จีนและพรรคการเมืองที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ร่วมมือกัน ทำงานร่วมมือเพื่อความก้าวหน้าของสังคมนิยมและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เป็นความสัมพันธ์เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมือง ความสมานฉันท์ของสังคมและรับประกันในเรื่องการทำนโยบายและการปรับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ผิดกับการเมืองแบบตะวันตกที่เอาแต่แข่งขันและเผชิญหน้ากัน

บทวิจารณ์ในซินหัวยังระบุว่า ระบอบแบบจีนนำไปสู่สังคมที่เป็นเอกภาพ ไม่เกิดการแบ่งแยกที่จะส่งผลลัพธ์ตามมาที่ขัดต่อธรรมชาติของประชาธิปไตยแบบตะวันตกในวันนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่า การถดถอยทางการเมืองอย่างไม่จบสิ้น การทะเลาะเบาะแว้งและนโยบายพลิกไปพลิกมา ซึ่งสร้างตราประทับให้กับอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย ถ่วงความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมและมองข้ามประโยชน์ของพลเมืองส่วนใหญ่

ทั้งนี้ บทวิจารณ์ดังกล่าว ซินหัวไมไ่ด้ระบุชื่อประเทศ แต่ก็ได้อ้างอิงตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้น เช่นการโหวตออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งล่าสุดว่า เป็นตัวอย่างที่ชี้ว่าทำไมประชาธิปไตยแบบตะวันตกมีข้อบกพร่อง

นอกจากนี้ ซินหัวยังระบุว่า ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบอบประชาธิปไตยแบบจีนๆ นั้นดีจนไม่มีที่ติ สมบูรณ์แบบจนไม่จำเป็นต้องนำเอาระบบการเมืองแบบพรรคที่ล้มเหลวของประเทศอื่นเข้ามาสู่จีน หลังผ่านมาหลายร้อยปี รูปแบบการปกครองแบบตะวันตกเผยให้เห็นเมื่อถึงเวลา มันมาถึงจุดสูงสุดที่สะท้อนออกมาอย่างแจ่มจัดถึงการป่วยไข้ของประชาธิปไตยที่กำลังสั่นคลอน ซึ่งได้ส่งผลให้เจ็บป่วยต่ออีกหลายประเทศในโลก และแก้ไขกันได้ไม่มาก

สำหรับจีน ด้วยรัฐธรรมนูญที่เชิดชูพรรคคอมมิวนิสต์ให้มีบทบาทสำคัญในรัฐบาล แม้จะอนุญาตให้มีพรรคการเมืองอื่นๆภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ระบบร่วมมือหลายพรรค” แต่มันคือพรรคการเมืองทั้งหมดต้องยอมจำนนต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งนักเคลื่อนไหวที่เรียกร้องความหลากหลายจะถูกจับและผู้วิจารณ์ระบอบอำนาจนิยมจีนถูกปิดปากเงียบ อีกทั้งตลอดช่วงการบริหารในนายสี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีน มีการปราบปรามขบวนการประชาสังคม จับกุมคุมขังทนายความสิทธิมนุษยชน นักเคลื่อนไหวที่เห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติและความสงบเรียบร้อย รวมถึงการควบคุมและเซ็นเซอร์ข้อมูลข่าวสารทั้งหน้ากระดาษและโลกออนไลน์อย่างเข้มข้น