แนะรัฐบาล วิเคราะห์โครงการบัตรคนจนให้รอบคอบ หวั่นมีปัญหาเชิงระบบในอนาคต

“อ๋อย” แนะ รัฐบาล วิเคราะห์โครงการบัตรคนจน หวั่น กระทบภาพรวมเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่17 ตุลาคม นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า บัตรคนจน อาจเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ เรื่องนี้ดำเนินการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา และกำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์หลากหลาย เริ่มจากข่าวความไม่รัดกุม มีช่องโหว่ โดยผู้มีรายได้น้อยเอาบัตรสวัสดิการไปแลกเป็นเงินกับร้านธงฟ้าประชารัฐในพื้นที่ซึ่งถือว่าผิดเงื่อนไข หากมีการตรวจสอบว่าทำผิดจริงร้านธงฟ้าจะถูกถอดออกจากทะเบียนร้านธงฟ้ากับกระทรวงพาณิชย์ และยึดเครื่องรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (อีดีซี) คืน ส่วนผู้ถือบัตรสวัสดิการจะถูกระงับวงเงินในบัตรทันที ขณะเดียวกันร้านธงฟ้าบางแห่งที่ยังไม่ได้มีการติดตั้งเครื่องอีดีซี แต่มีการติดป้ายหน้าร้านว่าพร้อมรับบัตรสวัสดิการ และสามารถมารับสินค้าออกไปก่อนได้ในวงเงิน 200 บาท โดยทางร้านจะทำการยึดบัตรสวัสดิการของผู้มีรายได้น้อยไว้ก่อน ซึ่งโครงการนี้มีประเด็นที่ต้องฉุกคิดและตั้งคำถามหลายเรื่อง เช่น ความครอบคลุมของการให้บริการที่สามารถใช้ได้เฉพาะกับร้านธงฟ้าที่ติดตั้งเครื่องอีดีซีเท่านั้น แต่ยังมีร้านธงฟ้าที่ไม่มีเครื่องอีดีซี 14,000 จาก 19,500 แห่ง ที่ยังไม่มีเครื่องนี้ แล้วคนที่ถือบัตรจะเข้าถึงร้านธงฟ้าได้อย่างสะดวกจริงหรือไม่

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ความไม่เท่าเทียมของประโยชน์ที่ได้รับ คนรายได้น้อยใน 7 จังหวัด คือ กทม.,นนทบุรี, ปทุมธานี, อยุธยา, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร และนครปฐม จะได้วงเงินช่วยค่าเดินทางโดยรถเมล์และรถไฟฟ้า ส่วนในจังหวัดอื่นนอกเหนือจาก 7 จังหวัดดังกล่าว ได้เฉพาะเงินช่วยเหลือค่ารถ บขส. และค่ารถไฟ จึงเป็นความเหลื่อมล้ำที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน การให้สวัสดิการกับคนใน 7 จังหวัดนี้มากกว่าที่อื่นทั้งที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่า ยิ่งไปทำให้ความเหลื่อมล้ำห่างออกจากกันมากขึ้นอีก
บัตรคนจน ไม่ได้เป็นการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยโครงการแรกของรัฐบาลนี้ ก่อนหน้านั้นในปี 2559 ก็มีโครงการคล้ายกันแบบนี้ โดยให้คนรายได้น้อยมาลงทะเบียน เพื่อรับเงินช่วยเหลือคนละ 1,500 บาท และ 3,000 บาท ซึ่งมีคนมาลงทะเบียนทั้งหมด 8.3 ล้านคน พอมาปีนี้ก็เปิดลงทะเบียนเหมือนกันอีก โดยมีคนมาลงทะเบียน 14.2 ล้านคน ต่อมาเป็นข่าวว่ากรองเหลือ 11 ล้านคน จะสังเกตได้ว่าตัวเลขคนจนเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 3 ล้านคน สิทธิประโยชน์ที่รัฐให้ในโครงการปี 2559 เป็นการแจกเงินให้แต่ละคนเป็นก้อนและให้ครั้งเดียว ใช้งบประมาณรวมไปทั้งหมด 19,290 ล้านบาท ส่วนของปีนี้การให้สิทธิประโยชน์ซับซ้อนขึ้น และยังไม่เป็นชัดว่ารัฐจะจ่ายเงินให้นานแค่ไหน ต่างจากโครงการที่แล้ว ที่ให้ครั้งเดียวจบ จึงทำให้ไม่ทราบว่า โครงการบัตรคนจนนี้ จะใช้เงินงบประมาณรวมทั้งหมดเท่าไหร่ และใช้ไปอีกกี่ปี และโครงการที่ให้เปล่าอย่างนี้ เมื่อทำแล้วมีแนวโน้มจะมากขึ้นเรื่อยๆ ถามว่าจะเอาเงินมาจากไหนมาอุดหนุน จะขึ้นภาษีหรือไม่อย่างไร จึงควรวางแผนป้องกันไม่ให้บัตรคนจน กลายเป็นแรงจูงใจให้ผู้ถือบัตรไม่อยากพ้นจากการเป็นคนจน และโครงการนี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตอย่างไร

“บัตรคนจน อาจกำลังต้องการสร้างระบบรัฐสวัสดิการแบบปุบปับ และปัญหาที่เกิดขึ้นสะท้อนว่าไม่ได้เตรียมการซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ถามว่าจะไม่ยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ เพราะประเทศที่มีระบบรัฐสวัสดิการจะเก็บภาษีสูงมาก มากกว่า 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ขณะที่ประเทศไทยมีรายได้จากภาษีอยู่ที่ประมาณ 15-17% ถ้าจะใช้ระบบรัฐสวัสดิการจะต้องปรับโครงสร้างภาษีแล้วไทยพร้อมหรือไม่ ในภาวะที่รัฐบาลขาดดุลการคลังปีละจำนวนมากและใช้จ่ายในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์อยู่เป็นระยะ ดังนั้นการกำหนดนโยบายที่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่ควรทำกันแบบเพิ่มนั่นเติมนี่ไปตามใจชอบ โดยไม่รู้ว่ากำลังจะเดินไปสู่อะไร แต่ควรจะมีกระบวนการวิเคราะห์ สังเคราะห์นโยบายอย่างเป็นระบบ ที่ต้องเปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่อย่างที่ทำกันอยู่” นายจาตุรนต์ระบุ