“ไทยออยล์” แจงผลประกอบการไตรมาส 2/65 กำไรสุทธิ ไม่ได้เกิดจากการกลั่น

จากกรณีที่ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ได้โพสต์ข้อความตั้งข้อสังเกตและวิจารณ์เกี่ยวกับผลประกอบการโรงกลั่น 4 บริษัท ที่ปรากฎว่าทำกำไรจำนวนมากนั้น ล่าสุด บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อเรื่องดังกล่าว ดังนี้

ตามที่บริษัทฯ ได้มีการเปิดเผยผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2565 ท่ี่มีกำไรสุทธิจำนวน 25,327 ล้านบาทนั้น บริษัท ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมให้ทราบ ดังนี้

1. ประมาณร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2565 เป็นการบันทึกกำไรพิเศษจำนวน 12,880 ล้านบาท (หลังหักภาษี) จากการขายหุ้นของ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี จำกัด (มหาชน) ไม่ได้เกิดจากการทำธุรกิจการกลั่นน้ำมัน 

2. เม่ื่อหักกำไรพิเศษจากการขายหุ้นข้างต้น บริษัทมีกำไรสุทธิเหลือประมาณ 12,447 ล้านบาท ซึ่งใน จำนวนนี้ ยังมีการบันทึกกำไรจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสต๊อกน้ำมันที่บริษัทฯ ต้องเก็บสำรอง ตามกฎหมายอีกจำนวน 7,557 ล้านบาทรวมอยู่ด้วย ปัจจุบันราคาน้ำมันได้อ่อนตัวลงกว่าราคาปิด ณ สิ้นไตรมาส 2 แล้วประมาณ 16.6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบารเ์รล ซึ่งจะทำให้กำไรจากราคาสต๊อกน้ำมันที่บันทึกในไตรมาส 2 ลดลงกวา่ 4,000 ลา้นบาท

3. ค่าการกลั่นที่ปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 2 ถือเป็นเหตกุารณ์ไม่ปกติและเกิดขึ้นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น สาเหตุมาจากประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทำให้เกิดมาตรการคว่ำบาตรการซื้อน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจากรสัเซีย ส่งผลให้อุปทานน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดตึงตัว ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันฟื้นตัวหลังสถานการณโควิดดีขึ้น ปัจจุบันค่าการกลั่น ณ ตลาด สิงคโปร์ได้ปรับลดลงจากค่าเฉล่ียในไตรมาส 2 ท่ี่ 4.7 บาทต่อลิตร มาอยู่ที่ 1.6 บาทต่อลิตร ซึ่งเป็นระดับปกติก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 แล้ว โดยปกติค่าการกลั่นเฉลี่ยรายเดือน หรือ รายไตรมาสจะมีความผันผวนขึ้นลงได้มาก ดังนั้น การวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของโรงกลั่นจึงไม่ควรพิจารณาเป็นรายไตรมาส