อาชญากรรม : พลิกนาที ตร.ล่าระทึก แก๊งปล้น 196 ล้านเยน ลงมือคอนโดฯ กลางกรุง ฝีมือ “คนใน” วางแผน

ถือเป็นคดีปล้นที่สร้างความฮือฮาอย่างมาก

สำหรับกรณีแก๊งไอ้โม่งดักปล้นเงินเยนญี่ปุ่น ไปจากเสี่ยค้าทองและอัญมณี มูลค่าสูงถึง 196 ล้านเยน หรือคิดเป็นเงินไทย 60 ล้านบาท

โดยซุ่มลงมือจากลานจอดรถคอนโดฯ หรูกลางกรุง

ที่น่าตื่นตะลึงก็คือกลุ่มคนร้ายสามารถรู้เวลาเดินทางของทีมขนเงินได้กระจ่างแจ้ง

จนตำรวจพุ่งเป้าไปที่ประเด็นเกลือเป็นหนอน หรือคนในรู้เห็น

พร้อมกับนำคดีเก่าเมื่อปี 2555 มาเทียบเคียง ซึ่งเป็นกรณีปล้นเงินต่างประเทศจากนักธุรกิจชาวอินเดีย 50 ล้านบาท

ซึ่งคดีนั้นก็สามารถจับได้ยกแก๊ง และคนร้ายก็เป็นอดีตลูกน้องของเหยื่อนั่นเอง

คดีนี้ก็ไม่ต่างกันเมื่อเจ้าหน้าที่ติดตามหารถปิกอัพที่กลุ่มคนร้ายชิงไป แล้วสืบสวนขยายผลจับกุมแก๊งแสบได้เกือบทั้งหมด

ที่สุดแล้วคนร้ายก็คือลูกน้องที่ทำหน้าที่ขนเงินมาจากประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง

แถมลงทุนเช่าห้องในคอนโดฯ หรูเพื่อประชุมวางแผนเข้านอกออกในนับสิบครั้ง

แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นเงื้อมมือตำรวจไปได้

ย้อนนาทีปล้น 196 ล้านเยน

สําหรับเหตุการณ์ปล้นกลางกรุงครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อกลางดึกวันที่ 2 ตุลาคม โดย นายภัทริศ หรือ โตโต้ แต้รัตนชัย อายุ 34 ปี นักธุรกิจขายทองและเครื่องเพชร ส่งขายประเทศญี่ปุ่น รุดแจ้งความกับ ร.ต.อ.นวพล วิทยะเกริกไกร พนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน

ระบุว่ามีไอ้โม่งไม่ต่ำกว่า 6 คน ดักปล้นเงินเยน 196 ล้านเยน หรือ 60 ล้านบาท จากลูกน้องที่มีหน้าที่ขนเงินไปจากลานจอดรถชั้น 5 คอนโดมิเนียม รัชดาพาวิเลี่ยน และยังทำร้ายร่างกายลูกน้องจนได้รับบาดเจ็บ พร้อมทั้งจับมัดเพื่อไม่ให้เหยื่อร้องขอความช่วยเหลือ

โดยจุดเริ่มต้นมาจากการสั่งให้ นายณรงค์ชัย หรือ จั๊ว สวัสดิพล นำเงิน 196 ล้านเยน ใส่กระเป๋าเดินทางและกระเป๋าสะพายหลังเดินทางจากประเทศญี่ปุ่นมายังสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย โดยผ่านการสำแดงต่อศุลกากรตามกฎหมาย

เมื่อถึงที่ชั้นผู้โดยสารขาเข้า นายจั๊ว หรือนายณรงค์ชัย ได้พบกับ นายจิรภัสส์ หรือ เนย พิทักษ์กิจวัฒนา และ นายเกียรติพงษ์ หรือ อุ้ย พึ่งยิ้ม ลูกน้องนายภัทริศ ที่มารอรับเงินไปเก็บที่คอนโดฯ รัชดา พาวิเลี่ยน ห้อง 104 ชั้น 15 ซึ่งเป็นห้องของนายภัทริศ ตามที่เคยดำเนินการมาแล้วหลายครั้ง

โดยนำเงินทั้งหมดใส่ไปในรถบีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์ 6 สีขาว ทะเบียน 4 กบ 7806 กทม. โดยมีนายเนยเป็นคนขับ ขณะที่นายอุ้ยขับปิกอัพฟอร์ด เรนเจอร์ สีส้ม ป้ายแดง ตามมา ขณะที่นายจั๊วแยกตัวกลับไป เพราะมีแฟนสาวมารอรับ

เมื่อทั้งคู่มาถึงที่คอนโดฯ เป้าหมายในเวลา 23.15 น. และนำรถไปจอดที่ชั้น 5 ขณะกำลังนำกระเป๋าใส่เงินลงจากรถ แล้วเดินเข้าอาคาร มีกลุ่มชายฉกรรจ์ 5-6 คน สวมหมวกไหมพรมสีดำ ชักปืนขู่แล้วใช้ด้ามปืนตบไปที่ศีรษะนายอุ้ย

จากนั้นนำเชือกมัดนายเนย แล้วเอาถุงกระสอบคลุมศีรษะทั้งสอง แล้วเอาไปมัดหลังเสา ก่อนหลบหนีไปโดยเอารถปิกอัพ ฟอร์ด เรนเจอร์ สีส้มไปด้วย ด้านเหยื่อทั้งสองเมื่อดิ้นรนจนหลุดออกมาได้ก็ไปแจ้งเจ้านาย และเข้าแจ้งความทันที

หลังรับเรื่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดย พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวส ผบช.น. หมาดๆ ก็ลงมาคุมคดีด้วยตัวเอง อีกทั้ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ก็ให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์เกิดขึ้นกลางกรุง

ทั้งนี้ จากการสอบสวนพบว่า นายภัทริศ ทำธุรกิจดังกล่าวหลายปี นำเงินหลายสกุลเข้ามาในประเทศหลักพันล้าน แต่ละครั้งหลายสิบล้านบาท และดีแคลร์เงินถูกต้องตามกฎหมาย ใช้ทีมขนเงินกว่า 10 คน

จึงสั่งสอบสวนทั้งพนักงานปัจจุบันและอดีต ที่อาจจะเชื่อมโยงกับคนในคอนโดฯ ดังกล่าว เพราะต้องใช้คีย์การ์ดเข้าลานจอดรถ

มุ่งไปที่คนในรู้เห็น

นอกจากนี้ ยังให้นำคดีเก่าเมื่อปี 2554-2555 ที่คนร้ายปล้นเงินนักธุรกิจอินเดียไป 50 ล้านบาทมาเทียบเคียงด้วย

จับยกแก๊ง-ที่แท้คนใน

หลังจากลงพื้นที่สืบสวน และเช็กกล้องวงจรปิดไล่หาทางหนีทีไล่ของคนร้าย ในที่สุดก็ได้ผล โดยเมื่อกลางดึกวันที่ 4 ตุลาคม เจ้าหน้าที่พบรถปิกอัพฟอร์ด เรนเจอร์ สีส้ม ที่คนร้ายชิงไปด้วยจอดอยู่ที่ถนนเลียบ รฟม. ฝั่งขาเข้า ก่อนถึงแยกผังเมือง แขวงและเขตห้วยขวาง กทม. ในลักษณะใช้ผ้าคลุมรถทั้งคัน

หลังรับรายงาน พล.ต.อ.จักรทิพย์ เดินทางไปตรวจสอบด้วยตนเอง ก่อนสั่งการให้ พฐ. มาตรวจสอบเก็บหลักฐานภายในรถ ทั้งดีเอ็นเอ ลายนิ้วมือแฝง

ก่อนขยายผลจับกุมคนร้ายได้สำเร็จ

วันที่ 5 ตุลาคม พล.ต.อ.จักรทิพย์ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผบก.สส.บช.น. และ พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบก.สส.บช.น. ก็แถลงจับกุมคนร้าย

ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นนายณรงค์ชัย หรือจั๊ว ที่เป็นลูกน้องคนขนเงินเยนกลับมาจากญี่ปุ่นนั่นเอง โดยร่วมกับพวกอีก 6 คน ประกอบด้วย นายชวลิต เจริญผล หรือริด อายุ 31 ปี นายสุรศักดิ์ ศรีฑะวงศ์ หรือกิ๊ก อายุ 35 ปี นายพงษ์ศักดิ์ ปิตศิริพันธ์ หรือคริส อายุ 31 ปี นายกฤษดา อัตถาเวช หรือแวน อายุ 30 ปี นายนัฐพงศ์ ธัญญะตุ่น หรือต้น อายุ 33 ปี คู่เขยนายณรงค์ชัย และ นายศรายุทธ ฤทธิชัยนุวัฒน์ หรือไก่ อายุ 31 ปี

โดยสามารถจับกุมนายณรงค์ชัยได้ที่บ้านพักย่านประชาชื่น และยึดคืนของกลางเป็นเงินธนบัตรสกุลเยน 196 ล้านเยน หรือคิดเป็นเงินไทย 60 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากการสอบสวนทั้งหมดเป็นลูกน้องหรือเคยเป็นลูกน้องของนายภัทริศทั้งหมด

จุดเริ่มต้นจากนายณรงค์ชัย ได้หารือกับนายนัฐพงศ์ ที่เป็นพี่เขย ซึ่งอ้างว่ามีหนี้สินต้องจ่ายจำนวนมาก ประกอบกับทำหน้าที่ขนเงินจากต่างประเทศ เห็นเงินมาตลอด ทำมาแล้ว 4 ครั้ง ได้เงินครั้งละ 3 หมื่นบาท

จึงเริ่มวางแผนลงมือปล้น โดยให้นายศรายุทธไปเช่าคอนโดฯ เลขที่ 172 ชั้น 23 ของคอนโดฯ ดังกล่าว เพื่อให้เข้า-ออกได้สะดวก และใช้ห้องนั้นประชุมหารือกว่า 10 ครั้ง จนตัดสินใจลงมือ

โดยนายณรงค์ชัย ที่เป็นคนวางแผน รับเงินจากญี่ปุ่น เมื่อมาถึงไทยก็ส่งสัญญาณให้ทีมปล้น นำโดยนายชวลิต ที่ลงมือในลานจอดรถชั้น 5 คอนโดฯ พาวิเลี่ยน หลังจากก่อเหตุ นายสุรศักดิ์จะขับรถพาทีมปล้นไปที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินอาร์ซีเอ เพื่อแยกกันหนี ขณะที่นายพงษ์ศักดิ์ขับรถฟอร์ด สีส้มไปจอดที่แยกผังเมือง และนายกฤษดาทำหน้าที่ขับรถนิสสัน อัลเมร่า สีดำ ฆศ 1169 กทม. รับส่งผู้ก่อเหตุ

นอกจากนี้ ยังออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องอีก 3 ราย ประกอบด้วย นายเมธวิน เลิศพิทยากุล หรือน็อต อายุ 31 ปี นายภากร ธรรมราษฎร์ หรือต้อง อายุ 34 ปี และ นายอนุชา พินิจผล หรือแรน อายุ 27 ปี ที่ถูกซัดทอด

ปิดคดีได้อย่างรวดเร็ว

ย้อนคดีปล้นกลางกรุง 50 ล้าน

สําหรับคดีที่เจ้าหน้าที่นำมาพิจารณาเพื่อเป็นแนวทางการสืบสวนสอบสวนจับกุมผู้กระทำความผิด ก็คือกรณีแก๊งปล้นเงินชาวต่างประเทศ ที่ลงมือเมื่อรุ่งสางของวันที่ 30 ธันวาคม 2554

โดยช่วงเวลาประมาณ 05.00 น. กลุ่มคนร้ายขับรถยนต์ปาดหน้าเข้าปล้นเงินจาก นายอับดุลลา ราฮูมาน นักธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศชาวอินเดีย เหตุเกิดที่ถนนสี่พระยา ท้องที่ สน.บางรัก คนร้ายเอาเงินสกุลต่างประเทศไปได้ 50 ล้านบาทเศษ

แต่จากการสอบสวนด้วยการอำนวยการของ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น. (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) เพียงไม่นานก็คลี่คลาย

โดยเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2555 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนบุกจับกุมนายกิตติชัย หรือ หนุ่ย สองเมือง 1 ในแก๊งคนร้าย ก่อนขยายผลจับกุมผู้ต้องหาได้อีก 5 คน ประกอบด้วย 1.นายจิตรภาณุ หรือ ทิ วัฒนศศิโรจน์ อายุ 43 ปี 2.นายวิชัย หรือ โล่ โล่ห์บัณฑิตสกุล อายุ 45 ปี 3.นายอุดม หรือ คิว ยิ้มพรธนา อายุ 43 ปี 4.นายวัลลภ หรือ ลพ คชวงษ์ อายุ 38 ปี และ 5.นายชวนชม หรือ อ้วน ศรีจันทร์ ที่หนีไปบวชซึ่งตำรวจจับกุมได้ที่ จ.สระแก้ว

และเร่งตามล่า ส.ท.วีรยุทธ งามเขียว และ ส.ท.อุดรพงษ์ กางนอก ที่อยู่ระหว่างหลบหนี

พร้อมติดตามเงินของกลางที่คนร้ายนำไปฝากที่ธนาคารต่างๆ รอจังหวะนำเงินต่างประเทศทั้งหมดไปแลกเป็นเงินไทย รวมเป็นเงิน 50,575,711.73 บาท และอาวุธปืน 2 กระบอก ปืนปลอมอีก 2 กระบอก

โดยนายจิตรภาณุ หรือทิ ให้การว่า เคยเป็นพนักงานแลกเปลี่ยนเงินตราในบริษัทแห่งหนึ่งมาก่อน และเคยถูกคนร้ายปล้นเงินไปเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ตำรวจไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ จึงคิดว่าหากก่อเหตุก็น่าจะรอดเช่นกัน

จึงวางแผนร่วมมือกับนายกิตติชัย หรือหนุ่ย ที่ต้องใช้เงินเพื่อล้างหนี้การพนัน โดยวางแผนปล้นเงินจาก นายอับดุลลา ราฮูมาน เป็นเวลา 1 เดือน และรวมสมัครพรรคพวกเพื่อลงมือก่อเหตุ

ด้านนายกิตติชัย หรือหนุ่ย ก็สารภาพว่า วางแผนมาร่วม 1 เดือน ติดตาม นายอับดุลลา ราฮูมาน เพื่อสังเกตพฤติกรรมก่อนลงมือ ทั้งนี้ ตนติดหนี้พนันและหนี้อื่นๆ และต้องเร่งจ่ายหนี้ จึงวางแผนและร่วมปล้นด้วย แต่ไม่คิดว่าเงินที่ได้จะมีเยอะขนาดนี้

เป็นอีก 1 คดีที่คนร้ายเป็นคนใน