ไอลอว์ ยกรัฐธรรมนูญ 60 อ้างคำ ‘มีชัย’ นายกฯจะดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 8 ปี

ไอลอว์ ยกรัฐธรรมนูญ 60 อ้างคำ ‘มีชัย’ นายกฯจะดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 8 ปี ไม่ว่าจะเป้นมากี่ครั้ง หรือดำรงต่อเนื่องหรือไม่ต่อเนื่องก็ตาม

 

วันที่ 12 ส.ค. 2565 โครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ไอลอว์ (iLaw) เผยแพร่ข้อเขียนผ่านทางโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ที่ทุกคนเป็นนายกฯ ได้ไม่เกิน 8 ปี ตลอดชีวิต

โดยระบุว่า ย้อนกลับไปรัฐธรรมนูญ ปี 2550 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่บัญญัติเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งของนายกฯ ว่าต้องไม่เกิน 8 ปี ซึ่งปรากฏในมาตรา 171 วรรคสี่ ที่บัญญัติว่า “นายกรัฐมนตรีจะดํารงตําแหน่งติดต่อกันเกินกว่าแปดปีมิได้” แต่ทว่า การเขียนเช่นนี้ ก็ทำให้เกิดช่องโหว่ว่า ถ้าหากไม่ได้เป็นนายกฯ ติดต่อกันหรือมีการเว้นวรรคการดำรงตำแหน่ง จะทำให้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้ใหม่ อีกเป็นระยะเวลา 8 ปี หรือไม่

ด้วยเหตุนี้ ในรัฐธรรมนูญ ปี 2560 คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จึงได้บัญญัติเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนขึ้น โดยกำหนดไว้ในมาตรา 158 วรรคสี่ ว่า “นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่ง ติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง” กล่าวคือ ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งนายกฯ มากี่ครั้ง และไม่ว่าจะดำรงต่อเนื่องหรือไม่ต่อเนื่องก็ตาม แต่ระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกฯ ของทุกคนต้องรวมกันแล้วไม่เกิน 8 ปี ตลอดชีวิต

โดยผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้เขียนขยายความมาตราดังกล่าวไว้ในเอกสารความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ด้วยว่า“..การนับระยะเวลาแปดปีนั้น แม้บุคคลดังกล่าวจะมิได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีติดต่อกันก็ตาม แต่หากรวมระยะเวลาทั้งหมดที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของบุคคลดังกล่าวแล้วเกินแปดปี ก็ต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่อย่างไรก็ตาม ได้กำหนด ข้อยกเว้นไว้ว่าการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีในระหว่างรักษาการภายหลังจากพ้นจากตำแหน่ง จะไม่นำมานับรวมกับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าว”

อีกทั้ง ในเอกสารคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ ยังระบุด้วยว่า “การกำหนดระยะเวลาแปดปีไว้ก็เพื่อมิให้เกิดการผูกขาดอานาจในทางการเมืองยาวเกินไปอันจะเป็นต้นเหตุเกิดวิกฤติทางการเมืองได้”

ทั้งนี้มีพยานและหลักฐาน อย่างน้อย 2 อย่าง ที่ชี้ให้เห็นว่า การตีความวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเริ่มนับจากวันที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกฯ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2557 ดังนี้

1. บันทึกการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 500 เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2561 ที่ระบุถึงความเห็นของประธานและรองประธาน กรธ. ในเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ไว้ดังนี้

นายสุพจน์ ไข่มุกต์ รองประธาน กรธ. กล่าวว่า “หากนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ประกาศใช้บังคับ เมื่อประเทศยังคงมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ควรนับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวรวมเข้ากับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วย”

นายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธาน กรธ. กล่าวว่า “บทเฉพาะกาลมาตรา 264 บัญญัติไว้ว่า ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่ และให้นำความในมาตรา 263 วรรคสาม มาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยโดยอนุโลม การบัญญัติในลักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า แม้จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับก็สามารถนับรวมระยะเวลาดังกล่าวรวมกับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกตามรัฐธรรมนูญ 2560 ได้ ซึ่งเมื่อนับรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ต้องมีระยะเวลาไม่เกินแปดปี”

จากบันทึกความเห็นดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า การดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามบทเฉพาะกาล มาตรา 264 ของรัฐธรรมนูญ ปี 2560 หมายถึงการดำรงตำแหน่งนายกฯ ไม่เกิน 8 ปีในมาตรา 158 เช่นเดียวกัน อีกทั้ง ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวฯ ปี 2557 มาตรา 2 ยังระบุว่า ประเทศมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ นายสุพจน์ ที่ระบุว่า หากเป็นนายกฯ ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ควรนับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวรวมด้วย ดังนั้น ต้องเริ่มนับวาระนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557