สุพันธ์ ติงรัฐ แจกเงินแต่ไม่สร้างรายได้! เสนอลดกฎหมายอุปสรรคทำมาหากิน – เติมทุนคนตัวเล็ก ผ่านกองทุนเครดิตประชาชน

สุพันธ์ ไทยสร้างไทย ติงรัฐ แจกเงินแต่ไม่สร้างรายได้ เสนอลดกฎหมายอุปสรรคทำมาหากิน – เติมทุน คนตัวเล็ก ผ่านกองทุนเครดิตประชาชน

วันที่ 1 สิงหาคม 2565 ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ งานสัมมนา Thailand survival.. ไทย จะรอดอย่างไรในวิกฤตเศรษฐกิจโลก นายสุพันธ์ มงคลสุธี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคไทยสร้างไทย ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ในการนำพาประเทศไทยก้าวออกสู่วิกฤตเศรษฐกิจ ด้วยการชูนโยบายของพรรคไทยสร้างไทย คือการสู่เพื่อคนตัวเล็ก โดยเริ่มกลับไปตั้งคำถามใหม่ว่า ปัญหาเศรษฐกิจ จริงๆแล้วเกิดจากอะไร นายสุพันธ์ เสนอว่า ปัญหาหลักของประเทศไทยเกิดจากการที่คนในประเทศไม่มีรายได้ที่เพียงพอ จำเป็นต้องมีการเพิ่มรายได้ให้กับคนตัวเล็ก แต่การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา ภาครัฐกลับใช้วิธีเดิม ๆ ที่ใช้มาหลายสิบปี แต่ปัจจุบันโลกนี้กำลังเปลี่ยนไป จำเป็นจะต้องสร้างธุรกิจโลกใหม่ หรือสิ่งที่เรียกว่า New World Economy ขึ้นมา คือไม่ใช่การกู้เงินมาแล้วก็แจก แบบนั้นไม่ใช่การเพิ่มรายได้ เป็นเพียงการอัดเงินเข้าไปในระบบเพียงระยะสั้น แต่สิ่งที่ต้องทำคือทำให้คนตัวเล็กมีรายได้อย่างต่อเนื่อง รัฐจะต้องไม่ได้มีหน้าที่แค่อัดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่รัฐต้องช่วยวางรากฐานและสร้างกฎกติกาที่ทำให้คนทุกคนสามารถเริ่มทำธุรกิจได้ การเพิ่มรายได้ไม่ใช่การโอนเงินให้แล้วปล่อยไป แต่ต้องทำให้คนตัวเล็กมีรายได้อย่างต่อเนื่อง

ในมุมมองของสุพันธ์ ปัญหาสำคัญคือ ภาคธุรกิจในประเทศ ที่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก และ ขนาดกลาง ขาดความสามารถในการแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ หากกลับมามอง GDP ของประเทศไทย GDP กว่า 30% ของประเทศ มาจากการส่งออก ซึ่งการส่งออกจำนวนมากนั้นเป็นธุรกิจของคนตัวใหญ่ เป็นบริษัทขนาดใหญ่ ไม่ใช่ของคนไทยด้วยซ้ำ คำถามใหญ่คือ จะส่งเสริมศักยภาพของคนไทยได้อย่างไร

นายสุพันธ์ เสนอ 3 ประเด็น ประเด็นแรกคือ ต้องให้โอกาสอุตสาหกรรมในประเทศและ SMEsให้มากขึ้น การยื่นขอ BOI ต้องทำได้ง่ายขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศเจริญเติบโตได้มากขึ้น

ประเด็นที่ 2 นายสุพันธ์ เสนอว่า ประเทศไทยต้องกลับมามองถึงความถนัดของประเทศให้มากขึ้น เช่น ความถนัดด้านการเกษตร ในขณะที่ประเทศไทยมีพันธ์ข้าวอยู่จำนวนมาก หลากหลายสายพันธ์ แต่กลับไม่ได้รับการส่งเสริมดูแลมากพอ หรือ ในด้านที่เกี่ยวกันเช่น อุตสาหกรร การเกษตรเช่น การผลิตปุ๋ย ที่ปัจจุบันราคาปุ๋ยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากไทยต้องนำเข้าแร่โพแทชที่ใช้ในการผลิตปุ๋ยจากรัสเซีย ทั้ง ๆ ที่แร่ชนิดนี้มีอยู่มากในชัยภูมิและ สกลนคร แต่ไม่ได้นำมาใช้อย่างเพียงพอ หรือ ในด้านการท่องเที่ยวที่ประเทศไทยเองเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงเรื่องการท่องเที่ยวอยู่แล้วนั้น มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้แพลตฟอร์มจองที่พักของบริษัทต่างชาติ นายสุพันธ์เสนอว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะสร้างแพลตฟอร์มในการจองที่พักขึ้นมาเอง หน่วยงานรัฐต้องเข้าไปต่อรองกับเจ้าของธุรกิจที่พัก โรงแรมต่างๆ เพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด เพื่อที่จะไม่ต้องให้นักท่องเที่ยวเสียค่านายหน้าให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ แล้วรัฐก็ทำได้เพียงแค่ไล่เก็บภาษี ที่ไล่อย่างไรก็ไล่ตามไม่ทัน หรือการจัดงานอีเว้นท์ระดับโลก 12 เดือน ไม่ว่าจะเป็นงานกีฬา เทศกาลดนตรี หรืองานเทศกาลอะไรก็ตาม ประเทศไทยนั้นมีศักยภาพทำได้อยู่แล้วแต่ไม่ได้รับการสนนับสนุนมากพอ

“ทุกวันนี้ GDP ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย อยู่ที่ประมาณ 20-25% จะทำอย่างไรให้เพิ่มเป็น 30-35% การเกษตรเราจาก 10-15% จะทำอย่างไรให้เพิ่มเป็น 20-25% ให้ได้”

ในประเด็นสุดท้ายนายสุพันธ์มองว่า จำเป็นต้องลดกฎเกณฑ์ที่ทำให้คนตัวเล็กไม่สามารถทำมาหากินได้ง่ายๆ เช่นหากกลับไปมองถึงศักยภาพของประเทศไทย เช่นศักยภาพในด้านผลิตภัณฑ์เสริมความงาม หรือผลิตภัณฑ์สมุนไพร โดยลดกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ไปจำกัดไม่ให้เกิดการพัฒนาด้านนี้ได้ลง เช่นกฎเกณฑ์ของ อย. นายสุพันธ์ตั้งคำถามว่า หากชุมชนแต่ละชุมชนจะทำสมุนไพร หรือทำผลิตภัณฑ์ความงามบางชนิด เช่นทำสบู่ ทำแชมพู จำเป็นแค่ไหนที่จะต้องไปขออย. เพราะเราเองมีกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคอยู่แล้ว ถ้าผลิตภัณฑ์บางชนิดมันไม่ดีพอ ก็อาจจะไปฟ้อง สคบ. แทน เพื่อให้ชุมชนหรือคนตัวเล็กเริ่มต้นธุรกิจได้รวดเร็วขึ้น โดยที่ไม่ต้องมาติดอยู่กับข้อกำหนดที่ล้าสมัยบางอย่าง

ในช่วงถาม-ตอบ สุพันธ์ได้เสนอว่าสิ่งที่จำเป็นต้องทำที่สุด เพื่อที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโต คือต้องดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมงานมากขึ้น ดึงภาคธุรกิจเข้ามามากขึ้น จะปกครองโดยทหารและนักการเมืองแบบเดิมไม่ได้ ต้องททำให้ขนาดของระบบราชการลดลง เปลี่ยนการวัดผล ลดจำนวนคนลงมาครึ่งหนึ่ง และ ลดอำนาจรัฐบาลกลางลง เน้นท์การเอาท์ซอร์สมากขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจไทยและภาคเอกชนเดินหน้าได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น
คำถามต่อมาคือเรื่องการขึ้นค่าแรงเพราะเป็นต้นทุนหนึ่งอขงการทำธุรกิจ สุพันธ์มองว่า ค่าแรงนั้นจำเป็นต้องขึ้น แต่ต้องไม่ใช่ขึ้นทั้งประเทศ เพราะค่าครองชีพแต่ละพื้นที่ก็แตกต่างกันไป ต้องไปใช้กลไกคณะกรรมการค่าแรงของแต่ละจังหวัด และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือรัฐต้องให้การสนับสนุนเครื่องจักรและกลไกอัตโนมัติมากขึ้น เพราะว่าการจ้างงานด้วยค่าแรงขั้นต่ำที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจำนวนมากคือการจ้างงานแรงงานต่างด้าว หากลดการจ้างงานด้วยแรงงานขั้นต่ำลง และ ไปเพิ่มและพัฒนาทักษะลูกจ้างให้มากขึ้น จะช่วยให้ไทยหลุดจากปัญหานี้ได้

ในส่วนคำถามเรื่องหนี้สิน นายสุพันธ์ ชี้ให้เห็นว่า หนี้เสียที่เกิดขึ้นจำนวนมากนั้น เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุ “สิ่งที่สำคัญคือต้องไปดูว่าก่อนที่เขาจะเป็นหนี้เสีย เขาเป็นหนี้ปรกติมาก่อนใช่ไหม เขาเคยมีเครดิต ธนาคารประเมินแล้วว่าเขามีความสามารถในการชำระมาก่อนจึงอนุญาตให้กู้ แต่พอมันเกิดโควิด มันจึงทำให้เขาเกิดหนี้เสียขึ้นมา สิ่งที่เราต้องทำคือตอนนี้ต้องพักดอกเบี้ยไว้ก่อนเลย และ ต่อมาคือต้องเติมเงินเข้าไปให้กับเขา ไปช่วยเหลือในการชำระหนี้” ในขณะที่เรื่องหนี้นอกระบบสุพันธ์ได้ชูนโยบาย กองทุนเครดิตประชาชนขึ้นมา โดยการปล่อยกู้ให้ประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงสถาบันการเงินได้ โดยออกแบบวิธีการชำระใหม่ อาจจะผ่อนเป็นรายวันรายสัปดาห์ก็ได้ แต่ดอกเบี้ยต้องอยู่ในอัตตราที่ไม่เกิน 5-7 % ต่อปี

นายสุพันธ์กล่าวปิดท้ายว่า “พรรคไทยสร้างไทยจะดึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจที่ล้าสมัยมาแขวนเอาไว้ แล้วเดินหน้าให้ทุกคนทำธุรกิจได้ เพื่อให้ความสำคัญกับคนตัวเล็ก”