อดีตปธน.รัสเซีย ขู่การบุกแหลมไครเมียจะจุดชนวนสู่ ‘วันพิพากษา’

“เมดเวเดฟ” อดีตประธานาธิบดีหุ่นเชิดปูติน ขู่ยูเครน-ชาติตะวันตก หากรุกเข้าไครเมียที่รัสเซียบุกยึดครองถือเป็นการคุกคาม และนำไปสู่วันพิพากษา ทัพรัสเซียเตรียมบุกอีกระดับ หลังยูเครนได้อาวุธทรงอานุภาพจากตะวันตก “เซเลนสกี้” เซ็นไล่ออก ผอ.สำนักงานความมั่นคง-อัยการสูงสุด หลังพบจนท.ใต้สังกัดร่วมมือกับรัสเซีย

วันที่ 18 กรกฎาคม 2565 สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานเมื่อวานนี้ (17 กรกฎาคม 2565) ตามเวลาท้องถิ่นว่า ดิมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติและอดีตประธานาธิบดีรัสเซียได้ออกมากล่าวเชิงข่มขู่ยูเครนกับชาติตะวันตกว่า การปฏิเสธยอมรับรัสเซียที่ยึดครองไครเมีย ถือว่าการคุกคามที่เป็นระบบต่อรัสเซีย และหากเกิดการโจมตีจากภายนอกมาสู่ไครเมีย ถือเป็นการจุดชนวนสู่วันพิพากษา

เมดเวเดฟ กล่าวกับสำนักข่าวทาสซ์ของรัสเซียว่า วันพิพากษาจะมาถึงเร็วมากและหนักมาก ยากที่จะหลีกเลี่ยง แต่ก็ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด แต่ก่อนหน้านี้ได้เตือนสหรัฐฯ ถึงอันตรายจากการพยายามลงโทษ รัสเซีย เกี่ยวกับการกระทำของตนในยูเครน โดยกล่าวว่าสิ่งนี้อาจเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติ

ความเห็นของอดีตผู้นำรัสเซียนี้ เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่ทางการยูเครนกำหนดพื้นที่ไครเมียที่เป็นพื้นที่อันชอบธรรมของยูเครนจะเป็นเป้าหมายของอาวุธทรงอานุภาพชิ้นใหม่ที่สหรัฐฯส่งมาสนับสนุนยูเครนในการรบอย่าง เครื่องยิงจรวดระบบขั้นสูงหรือ ฮิมาร์ส (HIMARS)

ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ อ้างว่าเมดเวฟเคยกล่าวลักษณะคล้ายกันนี้ ระหว่างพูดกับทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่า “หากรัฐอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นยูเครนหรือประเทศ NATO เชื่อว่าไครเมียไม่ใช่ของรัสเซีย นี่เป็นภัยคุกคามอย่างเป็นระบบสำหรับเรา นี่เป็นภัยคุกคามโดยตรงและชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับไครเมีย แหลมไครเมียต้องกลับสู่รัสเซีย

สำหรับไครเมีย ถือเป็นพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ของรัสเซียที่เป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือและกองเรือประจำทะเลดำซึ่งอยู่ในเมืองเซวาสโตโปล แต่เดิมรัสเซียซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลยูเครนที่มีผู้นำนิยมรัสเซีย ทำให้การใช้พื้นที่แหลมไครเมียเป็นลักษณะของการเช่าพื้นที่ แต่แล้ว หลังเหตุการณ์ปฏิวัติยูโรไมดาน ในปี 2557 ที่ชาวยูเครนที่ต้องการพาชาติไปในแนวทางแบบชาติตะวันตกก็โค่นล่มรัฐบาลนิยมรัสเซีย ทำให้รัสเซียตอบโต้ด้วยการส่งกองทหารเข้ายึดไครเมียจากยูเครนแบบไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับเริ่มสนับสนุนกลุ่มกบฎแบ่งแยกดินแดนนิยมรัสเซียในดอนบาส (ได้แก่แคว้นโดเนสกต์และลูฮานสก์) ทำสงครามกลางเมืองกับรัฐบาลยูเครน ก่อนที่ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัสเซียเปิดฉากรุกรานเต็มรูปแบบใส่ยูเครนและกลายเป็นสงครามยืดเยื้อจนถึงทุกวันนี้

ขณะที่ทางฝั่งกองทัพยูเครนนั้น รอยเตอร์สรายงานว่า รัสเซียเตรียมการรุกอีกระดับใส่ยูเครน หลังจากรัฐบาลรัสเซียกล่าวว่า กองทัพรัสเซียจะยกระดับปฏิบัติการทางทหารเข้าไปทุกพื้นที่ปฏิบัติการรบ ซึ่งเป็นผลจากชาติตะวันตกส่งระบบเครื่องยิงจรวดหลายชุดขั้นสูงช่วยยูเครนจนสามารถสร้างความเสียหายต่อกองทัพรัสเซียอย่างมาก จรวดจากรัสเซียก็ได้ถล่มใส่หลายเมืองเพื่อตอบโต้จนมีชาวยูเครนเสียชีวิตหลายสิบคน

วาดิม สกีบิตสกี้ โฆษกหน่วยข่าวกรองกองทัพยูเครน กล่าวว่า ไม่เพียงการโจมตีด้วยมิสไซล์ของรัสเซียจากภาคพื้นและทะเล แต่เรายังเห็นการระดมยิงปืนใหญ่ตลอดแนวปะทะ ตลอดแนวหน้าทั้งหมด พร้อมกับการใช้เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์จู่โจมเชิงยุทธวิธี

“เห็นได้ชัดว่าขณะนี้ (รัสเซีย) กำลังเตรียมการสำหรับขั้นต่อไปของการรุก”

กองทัพยูเครนกล่าวว่า รัสเซียเตรียมรวมพลใหม่เพื่อมุ่งหน้าบุกเมืองสโวเวียงสก์ เมืองสำคัญในแคว้นโดเนสกต์ที่อยู่ในการควบคุมของยูเครน

ส่วนกระทรวงกลาโหมอังกฤษ กล่าวเมื่อวานนี้ว่า รัสเซียเองก็กำลังเสริมแนวป้องกันตลอดพื้นที่ยึดครองทางใต้ของยูเครน หลังจากมีแรงกดดันจากกองทัพยูเครน และความพยายามของผู้นำยูเครนที่ขับไล่รัสเซียออกไปจากยูเครน

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ได้มีคำสั่งไล่ออกอิวาน บาคานอฟ เพื่อนในสมัยเด็กของเซเลนสกี้ จากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงภายในและอิริน่า เวเนดิกโตว่า อัยการสูงสุด หลังพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานพวกเขาทั้ง 2 ร่วมมือกับรัสเซีย ในพื้นที่ของยูเครนที่รัสเซียเข้ายึดครอง ซึ่งพบว่ามีเจ้าหน้าที่ 2 หน่วยงานนี้ทำงานต่อต้านยูเครนกว่า 60 คน และมีกรณีกบฎและร่วมมือกับศัตรูราว 651 กรณี

เซเลนสกี้กล่าวผ่านเทเลแกรมว่า “อาชญากรรมมากมายต่อรากฐานความมั่นคงแห่งชาติของรัฐ … ก่อให้เกิดคำถามร้ายแรงต่อผู้นำที่เกี่ยวข้อง”