‘สมคิด’ รับมอบเข็มเกียรติยศ มธ. เผยสำนึกบุญคุณบ่มเพาะ ‘เป็นตัวเป็นตน’ จนมาถึงวันนี้

‘สมคิด’ รับมอบเข็มเกียรติยศ มธ. เผยสำนึกบุญคุณบ่มเพาะ ‘เป็นตัวเป็นตน’ จนมาถึงวันนี้

 

วันที่ 27 มิถุนายน ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ มีการจัดงานเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครบรอบ 88 ปี โดยมีพิธีมอบเข็มเกียรติยศประจำปี 2565 แด่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ศิษย์เก่าคณะเศรษฐศาสตร์

โดย ดร.สมคิดรับมอบจากศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ทั้งนี้ ในวารสารรายเดือนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ Thammasat, A Monthly Magazine ประจำเดือนมิถุนายน 2565 เผยแพร่บทสัมภาษณ์ ดร.สมคิด โดยมีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า รางวัลนี้เป็นเกียรติยศสูงสุดในชีวิต เรื่องตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นเรื่องปกติ แต่การได้รับรางวัลเกียรติยศจากมหาวิทยาลัยที่จบมาเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตและการทำงานทั้งหมดมีคุณค่าต่อสังคม

คุณค่าของคนไม่ได้วัดที่รวยแค่ไหน และไม่ได้วัดที่ตำแหน่งว่าสูงแค่ไหน ตำแหน่งเป็นของนอกกาย ขึ้นแล้วก็ลง มาได้ก็ไปได้ แต่เราวัดกันที่ว่าทั้งชีวิตได้สร้างคุณค่าอะไรให้สังคมบ้าง

ปีนี้อายุ 69 เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตหมดไปกับการทำงาน 15 ปี ในฐานะอาจารย์ 25 ปี ในวงการการเมือง ดังนั้น 40 ปีที่ผ่านมาเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างยาวนาน เป็นชีวิตที่เหนื่อย มีทั้งปัญหาและแรงกดดัน แต่ตอนนี้เหมือนฝนที่ตกลงมาให้ชุ่มฉ่ำ ต้องขอบคุณธรรมศาสตร์ที่เห็นคุณค่า สิ่งนี้เป็นทั้งของขวัญและกำลังใจ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูง สำนึกบุญคุณของมหาวิทยาลัย ที่เป็นตัวเป็นตนได้ทุกวันนี้เพราะธรรมศาสตร์บ่มเพาะ

แนวคิดในการดำเนินชีวิต ไม่ได้เริ่มจากมหาวิทยาลัย แต่เริ่มจากครอบครัว สิ่งนั้นคือความซื่อสัตย์ สุจริต และมีคุณธรรม เป็นแกนหลักชีวิต ถ้าขาด 2 สิ่งนี้ โอกาสเป๋มีสูงมาก ดังนั้น ควรยึดสิ่งเหล่านี้ไว้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามแต่ เพราะเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นต้องเจอสิ่งแวดล้อมที่ยั่วยุอย่างแน่นอน แต่ถ้ามีแกนหลักที่แข็งแรง ความชั่วร้ายต่างๆ ก็ไม่มีทางทำอะไรเราได้ ด้วยหลักการนี้ ถ้าเจอเรื่องไม่ดี คุณจะไม่ทำ

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ศิษย์เก่าคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ รับมอบเข็มเกียรติยศประจำปี 2565

“ผมอยากบอกว่า เวลาที่เราเป็นวัยรุ่น เรามักคิดว่าสิ่งเดิมๆ ที่คนอายุมากสอนมันล้าสมัย นี่เป็นเรื่องปกตินะ เพราะถ้าเขาอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง แต่ผมโตขึ้นมาจนอายุขนาดนี้ คำแนะนำโบราณไม่มีสักข้อที่ผิด ของทุกอย่างที่ผ่านกาลเวลามา มันพิสูจน์ด้วยเวลา ฉะนั้น เราต้องรับฟัง การที่คุณมีรากเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว คุณเคยเห็นต้นไม้ที่เติบใหญ่โดยไม่มีรากไหม มันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น เราต้องเอาสิ่งที่มีอยู่แล้วกับของใหม่มาผสมผสานกันให้ทันสมัยยิ่งขึ้น” ดร.สมคิดกล่าว

ดร.สมคิดระบุด้วยว่า ตอนนั้นตนอยากเป็นตัวอย่างให้คนรุ่นตัวเองว่าต้องกล้าเข้าสู่การเมือง อย่าหลีกหนีการเมือง เพราะคนไทยส่วนหนึ่งมองว่าไม่ควรไปยุ่งให้เปลืองตัว แต่ตนมองว่าถ้าไม่พยายามส่งเสริมให่คนรุ่นใหม่เข้าไป การเมืองมันก็ไม่ดี ต้องเอาคนดีๆ ให้เข้าไป ซึ่งถ้าเราทำตัวดี เราสะอาด ใครจะมาทำอะไรได้

“ด้วยมูลเหตุอันนี้ มันเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตผม แต่ชีวิตของการทำงาน เราเป็นแต่มนุษย์ปุถุชน การที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ไม่ใช่ว่าเราจะทำได้ทุกอย่าง บางอย่างก็ทำได้พอสมควร การทำงานบางครั้งคุณไม่สามารถ Maximize แต่คุณต้อง Optimize หาจุดพอดี” ดร.สมคิดกล่าว

ในตอนท้ายของบทสัมภาษณ์ ดร.สมคิดระบุว่า ธรรมศาสตร์มีวัฒนธรรมของตัวเอง มีประเพณี มีความเชื่อเป็นหลักแน่นแฟ้น มีศิษย์เก่าที่รักสถาบันมากๆ จนทุกวันนี้เปรียบเสมือนทรัพย์สินของชาติ เพราะสามารถบ่มเพาะบุคลากรและสร้างความรู้ใหม่ๆ แก่ประเทศไทยได้

“ผมอยากฝากถึงศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันทุกคนให้ช่วยกันรักษาธรรมศาสตร์เอาไว้” ดร.สมคิดกล่าว

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 26 มิถุนายน 2477 หลังวันอภิวัฒน์สยามผ่านไป 2 ปี โดยมี ดร.ปรีดี พนมยงค์ แกนนำคณะราษฎรฝ่ายพลเรือน เป็นผู้ก่อตั้งและดำรงในฐานะผู้ประกาศน์การ ในนามมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เพื่อสนองต่อด้านการศึกษาในฐานะ 1 ใน หลัก 6 ประการของคณะราษฎร เพื่อสร้างพลเมืองที่มีความรู้ให้รับการระบอบการปกครองใหม่ที่เกิดขึ้นหลังการอภิวัฒน์สยาม 24 มิถุนายน 2475 ที่โค่นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ