‘ครูมานิตย์’ ซัด ‘สุพัฒนพงษ์’ ลูกหม้อ รู้วิธีแก้ปมพลังงาน-อย่าแนะแค่ใช้เตาอั้งโล่

‘ครูมานิตย์’ ซัด ‘สุพัฒนพงษ์’ ลูกหม้อ รู้วิธีแก้ปมพลังงาน-อย่าแนะแค่ใช้เตาอั้งโล่ จี้รบ.หยุดซื้ออาวุธเก็บเงินพยุงวิกฤต ด้าน ‘รมว.พลังงาน’ แจง ไม่ได้ให้ใช้ทดแทนแก๊ส เผย กำไร ปตท. ต้องปันผลผู้ถือหุ้นก่อน

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดของนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ถามนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถึงปัญหาพลังงาน ว่า วันนี้ประชาชนทุกหัวระแหงเดือดร้อนจากราคาน้ำมัน ที่จะลามไปถึงแก๊ส และไฟฟ้า แต่ภาวะการเป็นผู้นำต้องแก้ปัญหาวิกฤต และเอาวิกฤตมาเป็นโอกาส แต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ไม่เคยเอาวิกฤตมาเป็นโอกาสสักครั้งเดียว ปล่อยการบริหารงานไปตามยถามกรรม วันนี้ ประชาชนเดือดร้อนจริงๆ ชาวนาไม่มีเงินจ้างรถไถ และราคาปุ๋ยกระสอบละ 1,800 -1,900 บาท และไม่รู้ว่าราคาจะขึ้นไปอีกเท่าไหร่ รัฐบาลก็มีแต่คำว่า จะ แต่ไม่แก้ปัญหา

แต่จริงๆ นายสุพัฒนพงษ์ เคยเป็นลูกหม้อกระบวนการน้ำมัน และใกล้ชิดกับนายกฯ ท่านต้องรู้ดี จึงควรหาทางแก้วิกฤตที่เกิดขึ้น แต่กลับตอบว่า พยุงเงินกองทุนน้ำมันหมดไปแล้ว กำลังจะไปขอจากโรงกลั่นมา แล้วขอได้หรือไม่ เพราะโรงกลั่นเป็นบริษัทเอกชนที่ต้องบริหารงานเอง ไม่เช่นนั้นพอไฟฟ้าแพง ท่าจะไปบอกวาจะไปเอาเงินจากกองทุนไฟฟ้ามาจ่ายอีกหรือไม่ ดังนั้น ถามว่ารัฐบาลคิดที่จะพยุงราคาน้ำมันอย่างไรไม่ให้ราคาขึ้น จนกระทบเรื่องอื่น ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคก็แพงขึ้น

นายครูมานิตย์ กล่าวว่า นายสุพัฒนพงษ์ บอกว่ากลไกราคาน้ำมันให้เป็นไปตามตลาดโลก ถ้าแพงมาก็ขายแพงไป แล้วก็ไม่ต้องยกตัวอย่างประเทศลาว ซึ่งวันนี้ไทยไม่น่าต้องแข่งขันกับลาวหรอก ส่วนกองทุนส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน ที่เอาไปให้นายกฯ ใช้บริหารประเทศ แล้วทำไมไม่เรียกเงินกองทุนเหล่านี้มาพยุงกองทุนน้ำมันให้ถูกลง ด้าน ปตท. ที่รัฐบาลมีหุ้นส่วนมากที่สุด และยังโชว์ภาพว่าเป็นความภาคภูมิใจที่มีบริษัทน้ำมันเป็นของตัวเอง และสร้างกำไรมหาศาล แต่ในยามวิกฤต เงินของประชาชนทั้งหมดที่ได้กำไรมา ทำไมไม่ตัดส่วนที่เป็นกำไรเพื่อคืนกลับมาลดค่าน้ำมัน

เชื่อว่า ในโลกนี้ยังมีบางประเทศที่เป็นเจ้าของบ่อน้ำมัน และขายน้ำมันในราคาถูก ทำไมใช้วิธีทางการทูตเจรจาซื้อน้ำมันราคาถูก เพราะอย่างไรก็ต้องเอาคนไทยให้รอดก่อน อย่ามาบอกให้กลับไปใช้เตาอั้งโล่ ใช้ถ่าน และใช้ฟืน ไม่เช่นนั้นไทยจะกลับไปสู่ยุคเก่า นี่คือซูเปอร์เดือดร้อน แต่ที่ผ่านมา รัฐบาลชอบใช้คำว่า วินวิน ไม่รู้ว่าวินระหว่างรัฐบาลกับนายทุน หรือระหว่างรัฐบาลกับประชาชน เราต้องเอาวิกฤตมาเป็นโอกาส เพราะไม่รู้วิกฤตจะยาวไปไกล แต่งบประมาณแผ่นดิน ยังมีการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งที่ ควรจะนำงบมาไว้ใช้เพื่อพยุงราคาพลังงาน และน้ำมัน เพราะวันนี้เดือดร้อนทั้งแผ่นดินจริง

นายสุพัฒนพงษ์ ชี้แจงว่า ท่านอาจจะบอกว่าเข้าใจว่าราคาพลังงานสูงขึ้น เกิดจากปัจจัยภายนอก ไม่ใช่ภายใน และเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต แต่อยากจะให้เห็นว่ารัฐบาลได้ช่วยเหลือประชาชน โดยหากย้อนไปถึงการชี้แจงเมื่อปลายปีที่แล้ว จะเห็นว่าสถานการณ์พลังงานในตลาดโลกแย่ลงกว่าเดิม เพราะในช่วงนั้นเป็นเพียงระดับความต้องการปริมาณพลังงานสูงขึ้น และกำลังการผลิตตามไม่ทัน แต่สถานการณ์ตอนนี้เป็นไปมากกว่านั้น เพราะกำลังการผลิตของโรงกลั่น ได้ขาดหายไปในช่วงโควิด-19 และหลายโรงกลั่นต้องปิดตัวลง ทั้งยังมีอุบัติเหตุซ้ำเติม คือ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปก็ขยับสูงขึ้นกว่าราคาน้ำมันดิบ

เราต้องยอมรับว่าเรานำเข้ากว่า 90% รัฐบาลจึงต้องพยายามที่จะประคับประคอง และพยายามรักษาเสถียรภาพให้ได้มากที่สุด เช่น นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และการคุมราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 35 บาท ทั้งที่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเวียดนามจากเดิมราคา 29 บาทต่อลิตร วันนี้ 46 บาทต่อลิตร เข้าใจดีว่าน้ำมันดีเซล มีผลกระทบต่อประชาชน ไม่เช่นรัฐบาลทุกยุคต้องพยายามรักษาราคาน้ำมัน แต่เรายังต้องรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมให้เดินฝ่าในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อยังสูงอยู่ อย่างไรก็ตาม ต่างประเทศยังมั่นใจว่าการทำนโยบายแบบนี้ยังสามารถดูแลคนกลุ่มเปราะบาง และรักษาเสถียรภาพของระบบได้ สำคัญที่สุดการรักษาเสถียรทางการเงินและการคลัง

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลช่วยพยุงราคาน้ำมันดีเซล 11 บาทต่อลิตร และทางกระทรวงการคลังยังลดภาษีสรรพสามิตอีก 5 บาท ด้วย ส่วนเรื่องเงินจากกองทุนส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน ก็ต้องส่งคืนเข้าคลัง เพื่อให้เป็นงบประมาณแผ่นดิน ส่วนเรื่อง ปตท. ทางกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ 62 % ซึ่งกำไรดูเหมือนเยอะ แต่ต้องกันเงินประมาณครึ่งหนึ่งเอามาเป็นเงินปันผล และถือเป็นเงินได้ของแผ่นดิน ตามสัดส่วนของการถือหุ้นของกระทรวงการคลัง ฉะนั้นเราอาจจะเห็นเหมือนมีกำไรเยอะ แต่ความจริงต้องหักเงินปันผล ส่วนที่เหลืออีก 10 กว่า% ต้องเก็บเพื่อรักษาบำรุงเครื่องยนต์ และรักษาเสถียรภาพของกระทรวงฯ ทั้งนี้ หลายครั้งที่ขอความขอความช่วยเหลือ ทาง ปตท. ก็ไม่เคยขัดข้อง

“ทุกประเทศเจอปัญหาเหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกประเทศทำคือ การรณรงค์เพื่อประหยัดพลังงาน ซึ่งอยากจะให้สมาชิก กลับไปเผยแพร่สิ่งเหล่านี้ เพราะการประหยัดพลังงานทั้งไฟฟ้า และน้ำมัน 10% สามารถประหยัดได้เป็นแสนล้านบาท โดยกระทรวงพลังงานก็พยายามทำเต็มที่ เราช่วยกันได้ ส่วนเรื่องเตาอั้งโล่อาจจะเป็นเรื่องของการสื่อสาร และการขยายผลของคนเมือง แต่ทางกระทรวงพลังงานเห็นประชาชนจำนวนหนึ่ง ที่ยังใช้ถ่านอยู่ยังมีอยู่มาก เช่นคนชนบท การเสนอแนวทางให้ประหยัดพลัง จึงเป็นการเสนอซ้ำในสิ่งที่เคยทำมา แต่ไม่ใช่การให้ใช้เตาอั้งโล่ทดแทนแก๊สหุงต้ม” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว