“ประยุทธ์” ปลื้ม ‘ฟิทช์’ คงอันดับความน่าเขื่อถือของไทย คาดเศรษฐกิจขยายตัว 4.5 %

นายกฯ ปลื้มฟิทช์ ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือไทยที่ BBB+ คงมุมมองความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับมีเสถียรภาพ คาดเศรษฐกิจขยาย 4.5% จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจและท่องเที่ยว

 

วันที่ 22 มิ.ย.2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ยินดีที่ฟิทช์ (Fitch) ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือ ของประเทศไทยที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ อยู่ในระดับมีเสถียรภาพอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นการทำงานของรัฐบาลมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม

จากการคาดการณ์ของบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) เมื่อช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ว่าผลประกอบการของบริษัทในไทยจะมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2565 ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.2565 ฟิทช์เปิดเผยถึงการคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่มีเสถียรภาพระดับ BBB+ ว่าเป็นผลจากการบริหารจัดการด้านการคลังอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลมีการออกมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชนจากโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมาตรการเปิดประเทศที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัว เกิดทิศทางเชิงบวกในภาคเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนยิ่งขึ้น

โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า โดย ฟิทช์คาดการณ์ว่า ภาคการคลังสาธารณะ ในปี 2565 ประเทศไทยจะขาดดุลงบประมาณลดลง สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาล ต่อ จีดีพี จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 55.4 ต่อจีดีพี เศรษฐกิจจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 จากการฟื้นตัวภายในประเทศและการกลับมาของนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นจาก 6.5 ล้านคนในปี 2565 เป็น 22 ล้านคนในปี 2566 ในส่วนของภาคการเงินต่างประเทศ ไทยยังแข็งแกร่ง มีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงและเพียงพอต่อการใช้จ่าย

ทั้งนี้ ฟิทช์ คาดว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยจะขาดดุลร้อยละ 1.8 ต่อจีดีพี ลดลงจากร้อยละ 2.1 ต่อจีดีพี ในปี 2564 และจะกลับมาเกินดุลที่ร้อยละ 1.0 ต่อจีดีพี ในปี 2566 และร้อยละ 2.8 ต่อจีดีพี ในปี 2567 จากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวมากยิ่งขึ้น

นายกฯ ยินดีที่ฟิทช์เชื่อมั่นในนโยบายการบริหารจัดการด้านการเงินและการคลังของรัฐบาล ขอบคุณทุกฝ่ายในการร่วมบูรณาการความร่วมมืออย่างต่อเนื่องจดเห็นผลชัดเจนและเป็นที่ยอมรับ พร้อมกำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันการพัฒนาในทุกมิติ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน มุ่งหวังฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมไทยให้พร้อมต่อการเปิดประเทศอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน” นายธนกรกล่าว