“พิชัย” ติงไทยยุคประยุทธ์ ทรุดทุกด้าน! แนะ 6 ทางแก้ฟื้นความสามารถแข่งขัน

“พิชัย” ติง “ประยุทธ์” ทำความสามารถแข่งขันไทยทรุด 5 อันดับ ชี้ ทรุดทุกด้านทั้งผลประกอบการทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพทางธุรกิจ และ ประสิทธิภาพของรัฐบาล แนะ ทางแก้ 6 ปัญหาฟื้นความสามารถแข่งขัน รวมถึงต้องไม่มีปฏิวัติแล้ว และ ต้องเปลี่ยนผู้นำที่พูดเองว่าเป็นคอมพิวเตอร์ตกรุ่น

 

วันที่ 21 มิถุนายน 2565 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า หนี้สาธารณะของไทยพุ่งทะลุ 10 ล้านล้านบาทแล้ว และ ราคาก๊าซหุงต้มจะขึ้นเป็น 408 บาทสำหรับถัง 15 กก. ในเดือนกันยายนนี้ ขึ้นจากราคาเดิมต้นปีที่ 318 บาทถึง 28% ทั้งที่ประเทศไทยสามารถขุดก๊าซได้เอง และในเดือนกันยายนนี้ ค่าไฟฟ้าก็จะขึ้นอีกอย่างน้อย หน่วยละ 40 สตางค์ หลังจากที่เพิ่งขึ้นราคาเป็นหน่วยละ 4 บาท เมื่อไม่นานนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยเพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐขึ้นดอกเบี้ย 0.75% สูงที่สุดในรอบ 28 ปี และน่าจะขึ้นอีก 0.75% ในเดือนหน้า เป็นไปตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเตือนถึงปัญหาดอกเบี้ยขาขึ้นไว้นานแล้ว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยแน่

อยากให้พลเอกประยุทธ์และธนาคารแห่งประเทศไทยได้จับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และดำเนินมาตรการที่เหมาะสมที่จะประคองเศรษฐกิจไทยในภาวะผันผวนนี้ โดยคาดกันว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีกถึง 1.75% เลยภายในปีนี้ ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจของไทยที่กำลังย่ำแย่ การขึ้นดอกเบี้ยก็หนัก และการไม่ขึ้นดอกเบี้ยก็จะยิ่งหนัก ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของพลเอกประยุทธ์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ล่าสุด International Institute for Management Development (IMD) สวิตเซอร์แลนด์ ได้จัดอันดับความสามารถแข่งขันของไทยลดลงถึง 5 อันดับ จากอันดับที่ 28 ลงไป อันดับที่ 33 จากการสำรวจ 63 เขตเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าทรุดลงหนักมาก โดยอันดับผลประกอบการทางเศรษฐกิจลดลงถึง 13 อันดับ อันดับประสิทธิภาพทางธุรกิจลดลงถึง 9 อันดับ และ อันดับประสิทธิภาพของรัฐบาลลดลงถึง 11 อันดับ แม้กระทั่งอันดับ โครงสร้างพื้นฐานของไทยที่แต่เดิมก็อยู่ในระดับที่ต่ำอยู่แล้วก็ยังลดลง แสดงถึงความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจที่วัดโดย IMD ที่เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่พลเอกประยุทธ์เคยชื่นชมตอน IMD ปรับขึ้นแต่ตอนนี้ IMD ปรับลดลงหนักเลย ดังนั้นพลเอกประยุทธ์ จะต้องหาทางแก้ไขปัญหาความสามารถแข่งขันที่ลดลงนี้ ที่ทำให้ตรงข้ามกับที่พลเอกประยุทธ์ แถลงนโยบายไว้เองในสภา

จากการสำรวจของ World Economic Forum (WEF) ที่ประเมินปัญหาความสามารถแข่งขันของประเทศไทยพบว่า ปัญหาหลักที่ความสามารถแข่งขันของประเทศไทยลดลงมากจาก 6 เรื่องสำคัญ และทางแก้ไขดังนี้

1. ความไม่มั่นคงของรัฐบาลและการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งเป็นปัญหามาตลอด โดยการปฏิวัติครั้งหลังสุดคือเมื่อ 8 ปีที่แล้ว และ ผู้ทำการปฏิรูปยังคงปกครองประเทศอยู่เลย ทำให้ความมั่นใจและความเชื่อถือไม่มีเหลือ นอกจากนี้ความรู้ความสามารถของผู้ทำการปฏิวัติแล้วมาบริหารเองมีน้อยมาก ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วในปัจจุบัน แม้บริหารติดต่อกันมา 8 ปีแต่ประเทศกลับทรุดลง ไม่ได้ดีขึ้น ดังนั้นในอนาคตจะต้องไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารกันอึกต่อไปแล้ว

2. ระบบราชการที่ขาดประสิทธิภาพ ซึ่งปัญหานี้มีมาตลอด การแก้ไขคือต้องแก้ไขระบบราชการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการเปลี่ยนระบบรายกชการเป็นระบบดิจิตอล (Digital Transformation)

3. นโยบายไม่มั่นคง ทั้งนี้อาจจะเกิดมาจากการเปลี่ยนรัฐบาลและการปฏิวัติ ทั้งนี้ยังมีนโยบายที่ถูกยกเลิกหรือทำให้ช้าไปและเปลี่ยนไปเช่น การทำรถไฟความเร็วสูง การทำระบบจัดการน้ำ การแจกแทบเล็ตให้นักเรียน อีกทั้งยังมีการยกเลิกเหมืองทอง และ ยังมีการให้ที่ดินสำรวจเพื่อทำเหมืองทองเป็นหลายแสนไร่เพื่อหวังกลบคดีใช่หรือไม่ เป็นต้น

4. ขาดความสามารถเพียงพอในการคิดค้นพัฒนา ซึ่งเป็นปัญหาของประเทศไทยมาตลอด การปิดกั้นการแสดงออกทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ถูกปิดกั้นไปด้วย อีกทั้งประเทศไทยมีงบประมาณการวิจัยและคนคว้าต่ำ นอกจากนี้นักศึกษาของไทยจบทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมในสัดส่วนที่น้อยมาก ดังนั้นจึงต้องแก้ไขในเรื่องเหล่านี้

5. การทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งเป็นเหมือนโรคร้ายกัดกินประเทศไทยมาโดยตลอด การจัดลำดับความโปร่งใส หรือ การทุจริตของไทย โดยองค์กรความโปร่งใสสากล (Transparency International) ที่เป็นองค์กรระหว่างประเทศ จัดลำดับการทุจริตของประเทศไทยต่ำลงมาตลอด 5 ปีติดต่อกัน จากอันดับที่ 96 ในปี 2560 มาเป็นอันดับที่ 110 ในปี 2564

6. แรงงานที่มีการศึกษาไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ระบบการศึกษาไทยไม่ตรงกับความต้องการของงานในโลกปัจจุบัน ซึ่งจะต้องปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ

นี่เป็น 6 ปัญหาที่วนเวียนในประเทศไทยมาตลอด 8 ปีแล้วแต่ไม่เคยได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง และปัญหาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนที่พลเอกประยุทธ์เปรียบเทียบตัวเองเป็นคอมพิวเตอร์ที่แฮงค์เพราะปัญหามาก ทั้งที่ความจริงพลเอกประยุทธ์เปรียบเหมือนเป็นคอมพิวเตอร์ที่ตกรุ่นแล้ว ไม่สามารถที่จะทำการคำนวณและแก้ไขปัญหาสมัยใหม่ได้แล้ว ปัจจุบันเข้าสู่ยุคควอนตัมแล้ว คอมพิวเตอร์ตกรุ่นก็คล้ายกับเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ขนาดจะทิ้งยังมีคนรังเกียจเลย

“จึงอยากบอกพลเอกประยุทธ์ได้เปรียบเทียบคอมพิวเตอร์ชื่อประยุทธ์ กับคอมพิวเตอร์ที่ชื่อชัชชาติ หรือ คอมพิวเตอร์เพื่อไทยที่มองเห็นปัญหาล่วงหน้าและหาทางรับมือและแก้ไข ซึ่งคนไทยจะเห็นประสิทธิภาพที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งจะเป็นคำตอบว่าทำไมคอมพิวเตอร์ประยุทธ์ถึงแฮงค์และตกรุ่นแล้วต้องรู้ตัวเองและต้องออกไปเพื่อเปลี่ยนเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ได้แล้ว” พิชัย กล่าวทิ้งท้าย