‘สุพันธุ์’ จี้รัฐเลิกนโยบายแจกแล้วจม ค้านเก็บภาษีหุ้นปีนี้

สุพันธุ์ หัวหน้าทีมศก. พรรคไทยสร้างไทย จี้รัฐเลิกนโยบายแจกแล้วจม ค้านเก็บภาษีหุ้นปีนี้ แนะรอศก.ฟื้นควรขยับปีหน้า

 

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคไทยสร้างไทย และอดีตประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) โพสต์เพจเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงวิธีในการหาเงินของรัฐบาลที่ดีที่สุด ว่า เริ่มเห็นสัญญาณที่ดี หลัง ศบค. มีมติยกเลิก Thailand Pass ปรับให้ทั้งประเทศเป็นพื้นที่สีเขียวและร้านต่างๆ เปิดได้ถึงตีสอง รวมถึงถอดหน้ากากได้ในที่โล่งแจ้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เป็นต้นไป

ผมยืนยันมาเสมอครับ ว่าวิธีในการหาเงินของรัฐบาลที่ดีที่สุด คือต้องทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ และทำมาหากินได้เป็นปกติเร็วที่สุด เพราะจะทำให้เศรษฐกิจฐานรากฟื้นตัว คนไม่ได้ต้องการเงินแจก แต่พวกเขาต้องการกลับมาทำมาหากินได้ด้วยลำแข้งของเขา อย่างไม่มีอุปสรรคจากข้อกฎหมายหรือกฎระเบียบที่ไม่ชัดเจน

ทั้งนี้ ในช่วงที่โลกกำลังเผชิญกับพายุทางเศรษฐกิจลูกใหญ่ที่ชื่อว่า Perfect Storm รัฐบาลจะต้องมองการไกล เลิกนโยบาย ‘แจกแล้วจม’ กู้เงินมาแจกแล้วไม่ทำให้เงินหมุนลงไปสู่รากหญ้า แต่ต้องหยิบจุดแข็งของประเทศมาสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เครื่องยนต์ทุกตัวฟื้นกลับมาได้อีกครั้ง

นอกจากเปิดประเทศกระตุ้นการท่องเที่ยวแล้ว รัฐควรส่งเสริมการเกษตรให้มีผลผลิตที่มากขึ้นและคุณภาพที่ดีขึ้น เพื่อการส่งออกและตอบโจทย์วิกฤติอาหารโลกตอนนี้ ซึ่งวิกฤตอาหารโลกถือเป็นโอกาสของประเทศไทย รัฐบาลต้องส่งเสริมการเกษตรให้มีการผลิตที่มีคุณภาพและได้ปริมาณมากขึ้น เพื่อยกระดับราคาและป้อนสู่ตลาดโลก ทำโซนนิ่งการเพราะปลูกตามภูมิภาค เพื่อควบคุมคุณภาพ จัดสรรการส่งออกต่างประเทศและบริโภคภายในประเทศ ถ้าสนใจจัดการระบบน้ำให้เพียงพอต่อการทำเกษตรก็จะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงไปอีก

จากนั้นรัฐบาลต้องเน้นการเพิ่มรายได้ และทำให้เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น เช่น โปรโมทการท่องเที่ยว ให้ชาวต่างชาติเข้ามาใช้จ่ายในประเทศ โดยแนวคิดหลักคือ การทำให้ประชาชน ‘ขายของได้มากขึ้นและต้นทุนลดลง’ พักใช้กฎหมายที่ล้าหลังและเป็นอุปสรรคในการทำมาหากิน

ส่วนเครื่องยนต์อีกตัวที่ยังพอไปได้ คือตลาดทุน แม้ภาพรวมจะยังไม่ถึงกับดีมาก แต่ดีกว่าตลาดทุนของประเทศอื่นๆในอาเซียนที่มีมูลค่าลดลงเกือบ 30% ท่ามกลางกระแสข่าวว่ากระทรวงการคลังเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีจัดเก็บภาษีขายหุ้น (Financial Transaction Tax) ในอัตรา 0.1% ซึ่งผมมองว่าตลาดนี้มีความอ่อนไหวสูง มาตรการนี้จะส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนและสถาบันการลงทุนอาจจะดึงเงินกลับ ทำให้ตลาดทุนไทยปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย การเก็บภาษีตอนนี้จะได้แค่ไม่กี่หมื่นล้านบาท แต่อาจทำให้มูลค่าการลงทุนในตลาดลดลงไปเกือบแสนล้านบาท และการที่จะดึงเงินลงทุนเหล่านั้นให้กลับมาอีกครั้งคงไม่ใช่เรื่องง่าย เหมือนซ้ำเติมประชาชน

ผมเสนอว่ารัฐบาลควรจะเริ่มเก็บภาษีดังกล่าวในปีหน้า เพื่อรอให้เศรษฐกิจดีขึ้นหรือกลับมาฟื้นตัวอย่างเต็มที่ก่อน ในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีขึ้นแล้ว ขณะที่รัฐบาลควรใช้การใช้จ่ายของภาครัฐให้เกิดการหมุนเวียนของเงินไปยังเศรษฐกิจระดับฐานรากอย่างแท้จริง เพื่อให้เราผ่านพายุลูกใหญ่ทางเศรษฐกิจนี้ไปด้วยกัน