เต้-อัจฉริยะ” จัดชุดใหญ่ทีมทนายประกบแม่แตงโม วอนสื่อช่วยคุ้ยความจริง เชื่อโยง “ฆาตกรรมอำพราง”

“เต้-อัจฉริยะ” จัดชุดใหญ่ทีมทนายประกบแม่แตงโม วอนสื่อช่วยคุ้ยความจริงมา เชื่อโยง “ฆาตกรรมอำพราง” น้อยใจที่ผ่านมาเอาแต่กระหน่ำบิดเบือน
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 27 พฤษภาคม ที่รัฐสภา นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ นางภนิดา ศิริยุทธโยธิน มารดา น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ร่วมแถลงความคืบหน้าการดำเนินคดีการเสียชีวิตของ น.ส.นิดา

โดยนายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า จากการที่นางภนิดา ได้มาร้องขอให้ตน และชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมมาช่วยเหลือคดีการเสียชีวิตของน.ส.นิดา ซึ่งวันนี้ทางอัยการยังไม่ได้สั่งฟ้อง เลื่อนไป 12 วัน จึงยังพอมีเวลาที่เราจะดำเนินคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 (7) ทั้งคดีแพ่งและอาญา ตนขอชี้แจงว่าการดำเนินคดีครั้งต่อไปคนที่รับผิดชอบจะประกอบด้วย ตนในฐานะที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ และนายอัจฉริยะ ส่วนที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ประกอบด้วย พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ อดีตผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำ รัฐมนตรีว่าการหระทรวงกลาโหม พล.ท.อัศวิน รัชฎานนท์ รองหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และทีมทนายความ ได้แก่นายวินัย ชุมสวัสดิ์ และนายสุธีพงศ์ ชีวิตเจริญ ทนายความชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นอกจากนี้ มีทีมที่ปรึกษากฎหมาย ได้แก่ นายศยุน ชัยปัญญา เลขาธิการพรรคไทยศรีวิไลย์ นายศฤงคาร ข่ายสุวรรณ กรรมการบริหารพรรคไทยศรีวิไลย์ และนายบัญชา สุชญา สมาชิกพรรคไทยศรีวิไลย์ โดยมอบหมายให้นายบัญชา เป็นทนายและโฆษกประจำตัวนางภนิดา

นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนและน.ส.ภคอร จันทรคณา (ชีวานันท์) บุตรสาวนางนัยนา ชีวานันท์ รองหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ในฐานะนักแสดงช่องเดียวกับน.ส.นิดา จะทำหน้าที่ดูแลนางพนิดาแทนน.ส.นิดา ในช่วงระหว่าง 2 ปีครึ่งจากนี้ จนกว่าการดำเนินคดีจะแล้วเสร็จซึ่งคาดว่าจะเป็นปี 2567 ซึ่งการดำเนินคดีครั้งนี้เพื่อคืนความยุติธรรมให้เป็นไปตามความเป็นจริงตามความรู้สึกของผู้เสียหายโดยตรงก็คือคุณแม่ของน้องแตงโม ตนเชื่อว่าคดีนี้จะเป็นตัวอย่างของการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ซึ่งภาคประชาสังคมทุกคนมาร่วมด้วยช่วยกัน

ขณะที่นางภนิดา ได้อ่านแถลงการณ์ว่า รู้สึกอึดอัดใจทุกประเด็นการเสียชีวิตของลูกสาว ลูกสาวตนถือเป็นอภิชาติบุตร และจริงๆ แล้วลูกสาวตนอยากทำงานด้านการเมือง ลึกๆ ตนเจ็บปวดชอกช้ำมาก ทุกวันนี้ยังคิดถึงลูกอยู่ทุกวันและทุกเวลา ยังลืมไม่ได้ แต่ถึงเวลาแล้วที่ตนจะต้องทวงความยุติธรรมให้กับลูกสาวคนเดียวที่ตนมีและรักสุดหัวใจ ตนต้องการให้ลูกได้รับความเป็นธรรมตามกระบวนการยุติธรรมที่เป็นไปตามความจริงอย่างถึงที่สุด ตนเข้าใจว่าลูกสาวอาจไม่ได้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ แต่อาจจะเป็นการเสียชีวิตจากการฆาตกรรมอำพราง จึงตัดสินใจดำเนินคดีต่อศาลฯ ด้วยตนเอง โดยได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจากพรรคไทยศรีวิไลย์ ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และบุคคลสำคัญ อาทิ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจน์สุนันท์ ส.ว. พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนนรินทร์ ศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ รวมถึงประชาชนที่เห็นเหตุการณ์

“คุณแม่รู้สึกเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกสาว คุณแม่เสียเวลาไปแล้ว 3 เดือนเต็ม ตอนนี้คุณแม่ก็จะสู้ลุกขึ้นมาสู้ด้วยความถูกต้อง จะสู้เพื่อลูก จริงๆ ที่ผ่านมาก็สู้ แต่ไม่ได้บอกใคร คุณแม่มีหลักฐานเยอะแยะ เก็บหลักฐานเอง แต่ประชาชนคิดว่าไม่เห็นคุณแม่ทำอะไรเลย คุณแม่ไม่ออกมาช่วยลูกเลย คุณแม่อยากทราบว่าต้องออกมาประกาศด้วยหรือ ถ้าคุณแม่ไม่ช่วยลูก คุณแม่คงไม่ผอมแบบนี้ แม่น้ำหนักลดไป 7 กก. เพราะว่าไม่ได้หลับได้นอน ที่สำคัญคือสื่อมวลชนโทรหาคุณแม่บ่อยถึง 20 สายแบบเข้าคิวมา แต่แม่รับทุกสาย ไม่เคยปฏิเสธ ไม่ได้ทานข้าว ตั้งแต่ 9โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น ขอข้อมูลอะไรแม่ไม่เคยปฏิเสธ เพราะเข้าใจ คุณแม่ก็เคยเป็นสื่อเหมือนกันแต่เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ให้โรงแรม ขอเข้าใจคุณแม่ด้วยว่าอย่ามองคุณแม่ผิดอย่าให้ค่าคุณแม่ผิด ตั้งแต่นี้ต่อไปขอความกรุณาให้ข่าวในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าบิดเบือน แม่ตั้งใจจะหาความจริงเรื่องลูก ถูกฆาตกรรมด้วยวิธีใด ตรงนี้สำคัญ” นางภนิดา กล่าว

นางภนิดา กล่าวอีกว่า สื่อใดที่มีหลักฐาน หรือช่วยหาหลักฐานให้ตนบ้าง ก็จะดี จะได้ช่วยกันลดทอนความยุ่งยากของตน สัญญาได้หรือไม่ว่าสื่อจะช่วยหาหลักฐาน จะไปปลอมตัวเป็นใคร ไปที่ไหน ก็ทำไปเลย และมาเบิกค่าใช้จ่ายที่ตน คดีของลูกสาวตนจะได้เกิดความยุติธรรมจริงๆ แล้วอยากให้มีความถูกต้อง เพื่อเป็นบรรทัดฐานในคดี ต่อไปจะได้ไม่โดนโมเมนต์แบบนี้ถึง 3 เดือนที่ผ่านมา ลูกสาวตนไปโดนหมกเม็ดอยู่ที่ไหนเยอะแยะไปหมด ไม่ตรงโน้นก็ตรงนี้ แต่ข้อเท็จจริงไม่เคยเปิดเผย ทั้งที่สื่อก็รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ไม่มีใครเคยบอกตน สื่อก็ปกปิดตนเหมือนกัน ที่ผ่านมาไม่ใช่ข้อเท็จจริง และเอามาพูดกัน

ขณะที่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนได้รับมอบอำนาจจากนางภนิดาอย่างเป็นทางการโดยชอบด้วยกฎหมาย ในการใช้สิทธิ์ฟ้องร้องบุคคลบนเรือทั้งหมด วันนี้ตนได้นำหลักฐานบางส่วนให้นางภนิดาดู และเชื่อว่านางภนิดาเข้าใจในสิ่งที่ตนทำในเรื่องเกี่ยวกับฆาตกรรมอำพรางที่เกิดขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป คือ จะมีการพิสูจน์เรือใหม่ รวมถึงแนวทางการฟ้องร้องดำเนินคดีบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมอำพรางน.ส.ภัทรธิดา หลักฐานบางส่วนตนไม่สามารถเปิดให้คนทั้งประเทศดูได้ แต่ตนให้แม่ดูจนมีการแต่งตั้งตนและทีมทนายเป็นผู้รับมอบอำนาจ ทั้งนี้ ตนจะเชิญอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกามาร่วมเป็นทีมงานในการร่างคำฟ้องด้วย และจะมีผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 15 คน จากทุกสาขาอาชีพ เช่น ด้านการแพทย์ มีพญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ที่จะมาพิสูจน์เรื่องบาดแผลก้างปลา นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ มาพิสูจน์บาดแผลที่ขาข้างขวาและบาดแผลอื่นๆ ว่าเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ยืนยันได้ว่าไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือแน่นอน ผู้เชี่ยวชาญทางเรือที่สามารถยืนยันได้ว่าจากประสบการณ์ขับเรือสปีดโบ๊ตรุ่นดังกล่าว แตงโมไม่ได้ตกท้ายเรือ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบจีพีเอส รวมถึงอดีตอัยการ จะมาช่วยกันผนึกกำลังเพื่อทวงความยุติธรรมให้แตงโม โดยวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ จะใช้โดรนใต้น้ำสำรวจหาวัตถุพยานสำคัญ

นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาคุณแม่เสียเวลาไปเยอะแล้ว วันนี้สิ่งที่เรารอคอยในการทำให้คุณแม่ยอมรับว่าคดีนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุจากการนั่งปัสสาวะท้ายเรือ โดยเรามีหลักฐานบางอย่างและให้คุณแม่ดูเรียบร้อยแล้ว อะไรที่ทำได้เราจะทำทันที โดยเฉพาะหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เมื่อได้รับมอบอำนาจจากคุณแม่แล้ว เราจะทำงานง่ายขึ้นในการขอเอกสารต่างๆ และในการพิจารณาต่างๆ จะไม่ปิดกั้น โดยให้คุณแม่ดูทุกขั้นตอนของการทำงานอย่างโปร่งใส เราจะใช้เวลาอีกไม่นานในการรวบรวมพยานหลักฐาน

เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่ากระบวนการที่วางไว้จะไม่เสียเวลาเหมือน 3 เดือนที่ผ่านมา นายอัจฉริยะ กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุดเป็นนิมิตหมายอันดี ที่อัยการจังหวัดนนทบุรี ได้เล็งเห็นความสำคัญในการยื่นขอความเป็นธรรมของเราจำนวน 8 ข้อ ซึ่งมันสามารถพิสูจน์ได้ว่าหากอัยการมีการสอบ 8 ประเด็นที่เราร้องขอ จะเห็นได้ว่าไม่ใช่เรื่องของความประมาท ตนไม่เข้าใจว่า คนบนเรื่อมีแค่ 5 คนทำไมตำรวจมีสำนวนการสอบสวนถึง 2 พันกว่าแผ่น เราใช้คนไม่เกิน 15 คน และคาดว่าใช้เวลาไม่นานในการพิสูจนความจริง โดยการใช้นิติวิทยาศาสตร์เป็นหลัก เพราะหากใช้คนเป็นหลักจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ ทั้งนี้สิ่งที่จะทำต่อไปคือ การดำเนินคดีตามกฎหมายกับพยานเท็จทุกคน ซึ่งสัปดาห์หน้าก็จะมีการดำเนินคดีกับรายหนึ่งที่เป็นพยานสำคัญที่ตำรวจนำมาอ้างอิงและเป็นพยานเท็จแน่ๆ เพราะหากปล่อยให้อยู่ในสำนวนของตำรวจ จะทำให้คดีเกิดความเสียหาย

เมื่อถามว่า ตำรวจสรุปสำนวนว่าเป็นเรื่องประมาท แต่เห็นแย้งว่าเป็นฆาตกรรม มองว่าคดีจะเป็นอย่างไรต่อ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า หากอัยการเล็งเห็นการร้องขอทั้ง 8 ข้อ ของตนและมีการสอบพญ.คุณหญิงพรทิพย์ นพ.ธวัชชัย และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ก็จะได้ข้อเท็จจริงว่าไม่ใช่คดีประมาท และจะนำไปสู่การแก้ข้อกล่าวหา เพราะมีพยานหลักฐานใหม่ พนักงานอัยการก็สามารถมีสิทธิ์แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเป็นคดีฆาตกรรมได้

เมื่อถามว่า จะไม่ทิ้งคุณแม่กลางทางใช่หรือไม่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า “เราไม่ทิ้งคุณแม่อยู่แล้ว ยืนยันว่าตอนนี้ก็เหมือนแม่ของผมคนหนึ่ง แตงโมก็เหมือนน้องสาวของผมคนหนึ่ง หรือเรียกว่าเป็นลูกสาวก็ได้เพราะผมก็อายุ 55 ปีแล้ว สิ่งที่ทำวันนี้ไม่ใช่แค่เพื่อแตงโมคนเดียวแต่เพื่อประเทศชาติและเหยื่ออาชญากรรมอีกมากมาย เพราะในวันข้างหน้าเราไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกหรือไม่”

เมื่อถามว่า ตอนนี้คุณแม่มอบหมายให้ทำคดีแล้ว ไม่ได้เข้ามาเพื่อจะหวังผลด้านใดด้านหนึ่ง แต่ต้องการเข้ามาเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้น.ส.นิดาใช่หรือไม่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนทำคดีน.ส.นิดาตั้งแต่ตอนที่คุณแม่ยังมีทนายความอยู่แล้วมา 3 เดือนเต็ม และเราได้ระดมสรรพกำลังที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทุกด้าน เข้ามาวิเคราะห์และมีการประชุมกันทุกสัปดาห์ โดยขณะนั้นคุณแม่ยังไม่มอบอำนาจให้เรา เราก็ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญในการพิสูจน์หลักฐานต่างๆ จนประทั่งประชาชนให้ความหวังและให้กำลังใจเรา ตนคงไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง คดีนี้ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงไปมาก

เมื่อถามว่า จะให้คำแนะนำกับแม่อย่างไรในเรื่องของทางคดี หรือการเรียกร้องค่าเสียหายต่างๆ จากคนบนเรือ นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ตอนนี้คุณแม่ มอบอำนาจให้กับนายอัจฉริยะ กับทนายไปแล้ว เดี๋ยวรอให้คดีอาญาหลักไปก่อน

เมื่อถามถึงสาเหตุที่แม่ส่งโทรศัพท์มือถือให้บังแจ็ค นางภนิดา เอาแต่ก้มหน้าแสดงท่าทีเคร่งเครียดและไม่ยอมตอบคำถาม ส่วนนายมงคลกิตติ์ พยายามบอกนักข่าวว่า ให้ทนายความเป็นผู้ตอบคำถาม เมื่อสื่อพยายามจี้ถามอีก โดยร้องขอให้แม่เป็นผู้พูดเอง นางภนิดาเงยหน้า แล้วหันไปทางนายมงคลกิตติ์ แต่นายมงคลกิตติ์ ได้โบกมือส่งซิกไม่ให้พูด

ขณะที่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ได้คุยกับคุณแม่แล้วว่า เรื่องของบังแจ็ค จะไปแถลงข่าว วันที่ 2 มิถุนายน ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ยืนยันว่า วันนั้นตนจะเป็นคนพาคุณแม่ไป และได้นัดผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ไว้แล้ว ดังนั้น ขอให้ไปสัมภาษณ์ วันที่2 มิถุนายน เลยดีกว่า ข้อครหาที่ว่าตนไปร่วมกับบังแจ็ค เดี๋ยวตนจะให้ พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.)เป็นผู้แถลงข่าว ยืนยันต่อสื่อและประชาชนจะได้สิ้นสงสัยเสียที ขณะนี้มีทนายคนดัง มากล่าวหาตนตลอดเวลาว่า ตนไปกระทำการร่วมกับบังแจ็ค ในการเอาคุณแม่ เอา iCloud มาให้ตน อันนี้เดี๋ยวให้ที่สอท.ดีกว่า เนื่องจากว่าตนมีภารกิจด่วนที่ต้องไปทำจริง ๆ ซึ่งสำคัญมากด้วย และวันนี้คุณแม่ยังไม่พร้อม ไปสัมภาษณ์วันนั้นดีกว่า ไม่ใช่ว่าไม่ให้ตอบ แต่ว่าขอเป็นวันที่ 2 มิถุนายน เพราะคุณแม่โดนโจมตีอย่างหนักต้องเข้าใจนิดนึง

เมื่อถามย้ำถึงเรื่องโทรศัพท์ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า คุณแม่ได้ให้เขากู้ข้อมูลอยู่ เหตุผลที่คุณแม่ให้กู้ เพราะมันมี 550 ภาพ ถูกลบไปโดยน้ำแข็ง และก็มีการลบวีดิโอ สำคัญ 2 คลิปไป เรื่องนี้ตนยืนยันไม่มีใครแบล็กเมล์ใครแน่นอน เขาบอกว่าจะเอามาคืน เราก็ไม่สามารถควบคุมเขาได้ เพราะขณะนี้ทุกอย่างอยู่ในมือบังแจ็ค แต่วันที่ 2 มิถุนายน เราก็ต้องไปใช้สิทธิในฐานะพยานให้คุณแม่ก่อน รอดูว่าเป็นจริงอย่างที่เขาพูดไหมว่า สามารถกู้มาได้แล้วสี่หมื่นกว่าภาพ ซึ่งผมก็ยังไม่เชื่อพูดตรง ๆ ก็ต้องรอ ขอเวลาวันที่ 2 มิถุนายนทีเดียว

เมื่อถามว่า หลายคนเข้าใจว่าก่อนหน้านี้บังแจ็คเหมือนเป็นมิจฉาชีพ เป็นห่วงหรือไม่เกี่ยวข้อมูลส่วนตัวของแตงโม นายอัจฉริยะ กล่าวว่า อย่าลืมว่า iCloud มีคนรู้หลายคนไม่ใช่เฉพาะบังแจ็คคนเดียวที่รู้ ภาพที่มีการลบ 550 ภาพ กับคลิปวีดิโอ 2 คลิป ตำรวจไม่เคยบอกเลยว่า มีการลบข้อมูล เพียงแต่บอกว่าดำเนินคดีกับน้ำแข็งในข้อหาทำลายหลักฐาน ถูกหรือไม่โดยบอกว่าเขาเลือกลบเพราะเหตุผลแก้ตัวว่าภาพไม่สวย คุณแม่มีหลักฐานตรงนี้มาตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่รู้จะไปปรึกษาใคร วันที่ 2 มิถุนายนมีคำตอบ และให้คุณแม่ตอบแน่นอน แต่วันนี้คุณแม่ยังทำใจไม่ได้ เพราะขนาดร้องเพลงยังผิดเลย ไปร้องเพลงเมื่อคืนยังผิด ยังโดนด่า ขอให้สังคมเข้าใจด้วยว่า แม่มีเหตุมีผลในการทำ และสถานการณ์ในขณะนั้นแม่ถูกปิดกั้นทุกอย่าง ให้เวลาแม่หน่อย และวันที่ 2 มิถุนายน เราก็จะได้ทวงถามบังแจ็คว่า เมื่อไหร่จะคืน หรือกู้ได้จริงไหม ถ้าไม่ได้ก็ต้องเอาคืนมาแค่นั้นเอง

เมื่อถามว่า คาดว่าจะสรุปสำนวนคดีทั้งหมด ได้เมื่อไหร่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ไม่น่าจะเกินภายในกำหนดเวลาที่อัยการกำหนด ตนยังไม่รู้ว่าอัยการเลื่อนคดีไปวันไหน ต้องไปดูว่าเลื่อนกี่วัน และพวกตนมีเวลาเท่าไหร่ในการทำขั้นตอนของกฎหมายให้ทัน

เมื่อถามว่า คุณแม่มั่นใจกับทีมงานคณะนี้มากน้อยแค่ไหน นางภนิดา ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ขอโทษนะคะ คุณแม่ร้องไห้ คำที่ท่านอัจฉริยะพูดว่าลูกของคุณแม่หายไปน่าจะสี่ทุ่ม คุณแม่เพิ่งรู้ว่าลูกหายไม่เคยมีใครบอกเลยว่า ลูกคุณแม่หายไปไหน จนบัดนี้ คุณแม่เสียใจมาก ๆ เลยจริง ๆ สื่อก็น่าจะรู้ ทำไมไม่บอกคุณแม่บ้าง คุณแม่ก็มั่นใจในทีมของ ส.ส.เต้ เพราะว่ามีทั้งทนายความและที่ปรึกษาและเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้ความสามารถ มีทั้งคุณหญิงหมอและก็ท่านอัจฉริยะ ซึ่งเก็บข้อมูลของน้องโม และหลักฐานไว้เยอะมาก เยอะจนคุณแม่บอกตรงๆ ว่าคุณแม่สงสารท่านนะ”

นางภนิดา กล่าวอีกว่า เคยขอเบอร์กับนายเดชาเพื่อจะโทรขอบคุณ และแสดงความเห็นใจว่า ที่ท่านทำ ทำเพื่อน้องโมจริงๆ ยอมถึงชีวิต คุณแม่ก็ได้เบอร์มาและกำลังจะโทร แต่นายเดชาบอกคุณแม่อย่าโทร ไม่ให้คุณแม่โทร เดี๋ยวคุณแม่จะหาทางลงไม่เจอ เดี๋ยวคุณแม่จะเสียหาย คุณแม่เลยไม่โทร จนหนึ่งสัปดาห์ผ่านไปก็ได้มาเจอนายอัจฉริยะตัวจริง ก็ดีใจได้เจอ เพราะเป็นของจริง ทุกท่าน ทีมงาน แม่ดีใจ และก่อนออกมาแม่บอกน้องโมว่า คุณแม่ออกมาทำงานให้ลูกนะ ลูกก็ต้องช่วยคุณแม่ด้วย เพราะเป็นงานใหญ่แล้ว ไม่ใช่ทนายคนเดียวแต่เป็นทีมแล้ว เป็นระดับชาติ น้องก็ต้องเชื่อใจคุณแม่ด้วยว่าจะมาทำงานให้น้องจริง ๆ ซึ่งแม่ยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ ว่าจะสำเร็จ แต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย

เมื่อถามว่า ทนายเดชายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมหรือไม่ นางภนิดา กล่าวว่า “ยังเป็นเพื่อนกันแต่แกก็ชอบแขวะคุณแม่” เมื่อถามอีกว่า ยังรักกันอยู่หรือไม่ นางภนิดา กล่าวว่า เขาคงคิดถึงคุณแม่แหละ รัก ไปถามเขาสิ

เมื่อถามอีกว่า แม่ตัดใจจากการเอาทนายเดชาออกได้หรือไม่ นางภนิดา กล่าวว่า ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ได้เอาเขาออกเลย คุณก็พูดกันไปเรื่อย

เมื่อถามอีกว่า จะให้ความมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่เทนายอัจฉริยะ นางภนิดา กล่าวว่า ทำไมต้องถามคำถามนี้ละคะ ทางด้านผู้สื่อข่าวจึงตอบว่า เพราะว่าที่ผ่านมานายอัจฉริยะเคยโดนคุณแม่ว่า นางภนิดา ได้ยินจึงหัวเราะพร้อมกับตอบ ว่า เพราะคุณแม่เคยเทมา 2 ทนายแล้วใช่หรือไม่ คุณก็ลองวิจารณญาณด้วยตัวคุณเองแล้วกัน คุณแม่ไม่อยากไปกล่าวหาใครนะ คุณน่าจะรู้จักดีว่า ทั้งสองท่านที่คุณแม่เทเป็นอย่างไร นายอัจฉริยะ มีข้อมูลเต็มเอี๊ยดเกิน 100 เปอร์เซ็นต์ จะไปเทท่านได้อย่างไร คุณแม่ต้องการติดต่อท่านมากแต่โดนระงับ ไม่ให้คุย คุณแม่อยากคุยนะ คุยแล้วคุณแม่จะไม่มีทางลง ขู่ด้วย ก็เลยไม่ได้คุย จนมาเจอตัวจริงถึงได้คุย

เมื่อถามว่าได้เจอนายมงคลกิตติ์ และนายอัจฉริยะที่ระบุว่ามี่หลักฐานแน่นในการทำคดีรู้สึกอย่างไร นางภนิดา กล่าวว่า แม่รู้สึกดีใจ เหมือนพระเจ้ามาเข้าข้างน้องโม ให้ได้รับความยุติธรรม ให้ได้ช่วยค้นหาความจริงให้ คนเป็นแม่เป็นลูก มันตัดกันไม่ขาด เราก็ต้องถึงที่สุดเหมือนกัน ถึงไม่มีใครช่วยคุณแม่ในทีมนี้ เดี๋ยวคุณแม่ก็หาวิธีช่วยตัวเองให้พิสูจน์ให้ได้ คุณแม่ก็คิดว่าว่าต้องทำอย่างไร ลูกเราตายอย่างไร ทำไมต้องถึงตาย ทำไมต้องทำร้ายลูกเราจนถึงตายขนาดนี้ ใครทำ คุณแม่ต้องรู้ให้ได้จริง

เมื่อถามว่าสังคมยังไม่เข้าใจคุณแม่ คิดว่าเรามาเพื่อหวังเงิน 30 ล้าน นางภนิดาเพียงโบกมือไม่ตอบคำถาม โดยนายอัจฉริยะ ได้ขอตอบแทนว่า คุณแม่มีสิทธิตามกฎหมายในการเรียกร้องค่าเสียหายอยู่แล้ว สิ่งที่เราจะทำตนยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่พูดตรงๆ ก็ได้ว่ามีเรื่องของการที่มีการเสนอมา ซึ่งคุณแม่ก็ไปคำนวณว่าถ้าแตงโมอายุ 55 ปี จะมีรายได้เท่าไร แต่ประเด็นนี้ตรงนี้ตนบอกคุณแม่ไปแล้วว่ามันเป็นแค่ความฝัน ไม่ได้เป็นความจริง เพราะขณะนี้เรายังไม่สามารถรู้ได้ว่าแตงโมตายเพราะอะไร เราเชื่ออีกอย่างว่าไม่ได้ตายเพราะประมาท ดังนั้นสิ่งที่พวกตนจะทำคือทำให้เห็นว่าคดีนี้ไม่ได้เกิดชึ้นเพราะความประมาท มันเป็นคดีฆาตกรรมอำพราง เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลแล้ว สิทธิตามกฎหมายคุณแม่ก็มีสิทธิ์เรียกค่าเสียหายทางละเมิดอยู่แล้วและเราจะดำเนินการให้คุณแม่เป็นขั้นตอนอยู่แล้ว ส่วนการไปพูดคุยกันที สภ.นนทบุรี เป็นเรื่องที่คุณแม่ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย และขณะนั้นนายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย ทนายความ ยังประสบการณ์น้อย ถ้าตนทำตนไม่ให้คุย เพราะว่าขณะนั้นเรายังไม่รู้ว่าลูกเราตายเพราะอะไร แต่วันนี้คุณแม่พอเข้าใจแล้วว่าสิทธิตามกฎหมายคืออะไร อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ช่างมัน วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของคดีนี้ เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ตนได้มีโอกาสมารับใช้คุณแม่ จะทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด

ทั้งนี้ ภายหลังแถลงข่าวเสร็จ ผู้สื่อข่าวได้ขอให้นางภนิดาร้องเพลงที่ไปร้องเมื่อคืนนี้ โดยนางภนิดาได้ร้องเพลงใต้ร่มมลุลีท่อนหนึ่งว่า “โอ มลุลีร่มนี้มืดมน ช้ำเหลือทน อับจนหัวใจ ต้องพรากรักไป ภายใต้ ร่มไม้ ของเจ้านี้” โดยหลังจากที่นางภนิดาร้องเพลงจบ นางมงคลกิตติ์และผู้สื่อข่าวหลายสำนักได้ปรบมือให้เสียงดัง ส่วนนางภนิดายิ้มอย่างอารมณ์ดี