“ธนาธร” ชี้ไทยไม่มีประชาธิปไตย ส่งผลทั้งต่อคนไทย-ประเทศเพื่อนบ้าน ถึงประชาคมโลก

วันที่ 25 พฤษภาคม 2565 เฟซบุ๊กแฟนเพจของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และแกนนำคณะก้าวหน้า ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวหลังการประชุมร่วมนานาชาติด้านประชาธิปไตยเอเชียว่า

การไม่มีประชาธิปไตยในประเทศไทยส่งผลข้ามพรมแดน

ระหว่างวันที่ 19-20 พฤษภาคม ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า ได้เป็นเจ้าภาพต้อนรับเพื่อนของเราจากหลากหลายประเทศ ทั้งในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เมียนมา รวมถึงในฝั่งยุโรปอย่างสวีเดน และฟินแลนด์ มาร่วมการประชุมระดับนานาชาติของเครือข่ายประชาธิปไตยสังคมนิยมในเอเชีย หรือ Network for Social Democracy in Asia (SocDem Asia) ซึ่งเป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของพรรคและกลุ่มการเมืองแนวสังคมนิยมประชาธิปไตย (Social Democracy) ที่ทั้งพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้าเป็นสมาชิก
.
ผมได้กล่าวต้อนรับเพื่อนของเราด้วยการฉายภาพให้เห็นว่าเหตุใดพวกเราจึงมารวมตัวกันที่นี่เพื่อปกป้องประชาธิปไตย ผมได้ยกกรณีตัวอย่างของสิ่งที่ประเทศไทยภายใต้รัฐบาลเผด็จการทหารได้กระทำและส่งผลต่อประชาคมนานาชาติ และเหตุใดการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในทุกที่จึงมีความสำคัญต่อทั้งประเทศไทยและประชาคมโลก ซึ่งผมขอโอกาสนี้นำเนื้อหาของสิ่งที่ผมได้กล่าวในวันนั้น มาเล่าสู่กันฟังต่อกับทุกท่าน
.
ผมได้ยกตัวอย่างถึงกรณีเมื่อปี 2015 ที่ชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในมณฑลซินเจียงของประเทศจีน ที่ลี้ภัยอยู่ในไทยเกือบร้อยชีวิตถูกรัฐบาลเผด็จการทหารของไทยส่งตัวกลับไปยังประเทศจีน ท่ามกลางเสียงคัดค้านของประชาคมระหว่างประเทศ และท่ามกลางหลักฐานที่บ่งชี้ชัดว่าชาวอุยกูร์นับล้านชีวิตถูกจับเข้า “ค่ายอบรม” (re-education camp) ของรัฐบาลจีน ถูกใช้แรงงานบังคับ มีการล่วงละเมิดทางเพศ
.
ขณะเดียวกัน สถานการณ์การลุกขึ้นสู้ต่อต้านรัฐประหารในเมียนมาในปี 2021 ที่นำไปสู่การสลายการชุมนุมและปราบปรามอย่างรุนแรง จนมีชาวเมียนมาอย่างน้อย 1,791 ชีวิตต้องเสียชีวิต อีกกว่า 9,984 คนถูกจับกุมจากการต่อต้านรัฐประหาร และการปะทะกันระหว่างกองกำลังชาติพันธุ์และกองทัพเมียนมา นำมาซึ่งคลื่นผู้ลี้ภัย ที่พยายามข้ามฟากมาที่ฝั่งไทย พวกเขาเพียงต้องการสันติภาพ ความปลอดภัย และที่พักพิงชั่วคราว
.
สิ่งที่รัฐบาลไทยทำคือการผลักดันผู้ลี้ภัยเหล่านี้กลับไปเผชิญความตาย มีหลักฐานที่บ่งชี้ให้เห็นได้ชัด ว่ามีการทำลายสะพานไม้ข้ามแม่น้ำที่ผู้ลี้ภัยใช้ในการข้ามฟาก และสกัดขัดขวางไม่ให้องค์กรระหว่างประเทศเข้าให้การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากเมียนมา ในทางกลับกัน กองทัพไทยกลับส่งเสบียงจำนวนมากข้ามฟากไปให้กับกองทัพเมียนมา ที่กำลังเข่นฆ่าทำล้างชีวิตประชาชนอยู่
.
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร? อย่างที่ผู้นำรัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมา มินอ่องหล่ายน์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับสำนักข่าวนิคเคอิ ระบุชัดเจนว่าที่เขามีความมั่นใจในการก่อการรัฐประหาร ก็เพราะการมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำรัฐบาลในฝั่งไทย และที่ผ่านมาก็เป็นที่ประจักษ์ชัด ว่ารัฐบาลไทยให้การสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมาทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งในการปกครอง ปราบปราม และเข่นฆ่าประชาชน
.
หากประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย การปฏิบัติที่ละเมิดต่อข้อตกลงระหว่างประเทศและไร้ซึ่งมนุษยธรรมอย่างร้ายแรงต่อทั้งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์และชาวเมียนมาจะไม่เกิดขึ้น แต่เพราะประเทศไทยจากวันที่เราอยู่ภายใต้เผด็จการทหารมาจนเป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจวันนี้ เรื่องราวเลวร้ายที่เรากระทำต่อผู้ลี้ภัยจึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมถึงการที่เผด็จการทหารสามารถทำรัฐประหารและปกครองบ้านเมืองในประเทศเพื่อนบ้านของเราได้ด้วย
.
ผมยังเล่าให้เพื่อนจากต่างประเทศของเราฟังถึงผลกระทบจากรัฐบาลเผด็จการไทยต่อประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องของ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ ผู้ถูกคุมขังในเรือนจำจากข้อหามาตรา 112 โดยไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว และได้ประท้วงความอยุติธรรมด้วยการอดอาหารในเรือนจำมาเป็นเวลากว่า 30 วันแล้ว เพียงเพราะเธอตั้งคำถามกับสถาบันกษัตริย์ ผมยังเล่าว่าเธอเป็นเพียงหนึ่งในผู้ต้องหาคดีการเมืองกว่า 2,017 คน ของประเทศไทยในเวลานี้ ซึ่งจำนวนมากเป็นเพียงเยาวชนที่ถูกขโมยอนาคตไปและต้องการทวงมันคืนกลับมา
.
ทั้งหมดนี้นำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าเมื่อประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย ผลกระทบไม่ได้เกิดขึ้นแต่กับเพียงประชาชนคนไทยเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับประชาคมโลกด้วย และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการเรียกร้องประชาธิปไตยในระดับสากลไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตามล้วนมีความสำคัญและเป็นภารกิจร่วมกันของพวกเรา
.
สุดท้ายนี้ผมได้ทิ้งท้ายการกล่าวต้อนรับเพื่อนจากต่างประเทศของเราด้วยคำพูดของ เอลี วีเซล นักกิจกรรมทางการเมือง นักเขียน และผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิวโดยนาซี ที่เคยกล่าวไว้ว่า
.
“เราต้องเลือกข้าง ความเป็นกลางและการเลือกที่จะเฉยเมย คือการสนับสนุนผู้กดขี่ให้ก่อทุกข์เข็ญต่อผู้ถูกกดขี่เสมอ”