สงครามรัสเซีย-ยูเครนทำยอดผู้พลัดถิ่นแตะร้อยล้าน รัฐบาลเคียฟปฏิเสธหยุดยิง แม้ดอนบาสโดนถล่มหนัก

ยูเครนสู้ต่อ ที่ปรึกษาประธานาธิบดียูเครนไม่ยอมรับข้อตกลงหยุดยิง ตามคำเรียกร้องของสหรัฐฯและอิตาลี ขณะที่รัสเซียบุกหนักในภูมิภาคดอนบัส UNHCR เผยความขัดแยังในหลายประเทศ รวมสงครามในยูเครนจากการรุกรานของรัสเซียผลักดันให้มีผู้ถูกบังคับให้พลัดถิ่นเพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านคน ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 

 

วันที่ 22 พฤษภาคม 2565 รอยเตอร์สรายงานว่า ยูเครนปฏิเสธการหยุดยิงหรือยินยอมแก่รัสเซีย ในขณะที่รัสเซียทวีความรุนแรงในการถล่มพื้นที่ทางตะวันออกของภูมิภาคดอนบัส และระงับการส่งก๊าซให้ฟินแลนด์

หลังจากนักรบยูเครนกลุ่มสุดท้ายในเมืองมาริอูปอล ยุติการต่อต้านรัสเซียเป็นเวลาหลายสัปดาห์ รัสเซียกำลังดำเนินการรุกรานครั้งใหญ่ในแคว้นลูฮันสก์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสองแคว้นของภูมิภาคดอนบัส

“สถานการณ์ในดอนบัสนั้นยากลำบากมาก” โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กล่าว พร้อมระบุว่ากองทัพรัสเซียพยายามโจมตีเมืองต่าง ๆ ของเมืองสโลเวียนสก์ และเมืองเซียวีโรโดเนตสก์ แต่กองทัพยูเครนกำลังขัดขวางอยู่

กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย ได้เข้าควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในแคว้นลูฮันสก์ รวมถึงในแคว้นโดเนตสก์ที่อยู่ใกล้เคียง ก่อนที่รัสเซียจะบุกยูเครนเต็มกำลังเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ แต่รัสเซียต้องการยึดดินแดนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของยูเครนในดอนบัส

“มีคาอิโล โปโดลยัค” ที่ปรึกษาของเซเลนสกี ไม่ยอมรับข้อตกลงหยุดยิง โดยกล่าวว่าทางการยูเครนจะไม่ยอมรับข้อตกลงใด ๆ กับทางการรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับการยกดินแดน การอ่อนข้อจะส่งผลกลับมาที่ยูเครน เนื่องจากรัสเซียจะตอบโต้กลับมาหนักขึ้นหลังการพักรบ

“สงครามจะไม่ยุติ (หลังการอ่อนข้อ) มันเพียงแต่หยุดลงชั่วคราว” โปดอลยักให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์สในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาของยูเครน เขากล่าวด้วยว่า “รัสเซียจะเริ่มการรุกรานครั้งใหม่ ที่มีการนองเลือดและยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม”

การเรียกร้องให้หยุดรบโดยทันทีมาจากรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ “ลอยด์ ออสติน” และนายกรัฐมนตรีอิตาลี “มาริโอ ดรากี”

การยุติการสู้รบในเมืองมาริอูปอล ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของยูเครนที่รัสเซียยึดครองได้ ทำให้ “วลาดิมีร์ ปูติน” ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้รับชัยชนะ หลังจากพ่ายแพ้มาแล้วหลายครั้งในการต่อสู้เกือบ 3 เดือน

รัสเซียเผยว่า กองกำลังยูเครนกลุ่มสุดท้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในโรงงานเหล็กอาซอฟสตัลในเมืองมาริอูปอลได้ยอมจำนนต่อรัสเซียเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

การควบคุมเมืองมาริอูปอลได้เบ็ดเสร็จ ทำให้รัสเซียมีเส้นทางทางบกที่เชื่อมกับคาบสมุทรไครเมีย ซึ่งรัสเซียยึดครองในปี 2557 ขณะที่แผ่นดินใหญ่ของรัสเซียและพื้นที่ทางตะวันออกของยูเครนถูกยึดครองโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนรัสเซีย

“ก๊าซพรอม” บริษัทก๊าซของรัสเซีย ระบุว่าได้ระงับการส่งออกก๊าซไปยังฟินแลนด์ ซึ่งปฏิเสธข้อเรียกร้องของรัสเซียที่ต้องการให้จ่ายค่าก๊าซเป็นเงินรูเบิล หลังจากชาติตะวันตกออกมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย

ฟินแลนด์และสวีเดนยังสมัครเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางทหารของนาโตเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ส่วนสำนักงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) รายงานว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครนและความขัดแย้งอื่น ๆ เป็นสาเหตุให้มีผู้คนมากกว่า 100 ล้านคน ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ถูกบังคับให้พลัดถิ่น หนีจากความขัดแย้ง ความรุนแรง การละเมิดสิทธิมนุษยชน และการประหัตประหาร

นายฟิลิปโป กรันดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า ตัวเลข 100 ล้านคน เป็นตัวเลขที่ไร้เหตุผล นิ่งสงบ และ ตื่นตระหนกในเวลาเดียวกัน ซึ่งมันไม่ควรมีบันทึกแบบนี้ด้วยซ้ำ แต่ตัวเลขนี้ ควรปลุกให้ทุกคนตื่นขึ้นมาแก้ไขปัญหา ป้องกันความขัดแย้งที่จะทำลายล้างกัน รวมถึงยุติการกดขี่ข่มเห่ง และจัดการกับสาเหตุเบื้องหลังที่บังคับให้ผู้บริสุทธิ์ต้องถูกบังคับให้ออกจากบ้านเกิดเมืองนอน

ทั้งนี้ ข้อมูลของ UNHCR ระบุว่า จำนวนผู้ถูกบังคับให้พลัดถิ่นทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 90 ล้านคนภายในสิ้นปี 2564 สาเหตุจากความรุนแรงครั้งใหม่หรือความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในประเทศต่าง ๆ รวมถึงเอธิโอเปีย บูร์กินาฟาโซ เมียนมา ไนจีเรีย อัฟกานิสถาน และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

ส่วนในปี 2565 สงครามในยูเครนได้ทำให้มีผู้พลัดถิ่นเพิ่มอีก 8 ล้านคน ภายในปีเดียว และยังผลักดันให้มีคนอีกประมาณ 6 ล้านคน ต้องออกจากประเทศ

จำนวน 100 ล้านคนทั่วโลกที่ผู้ถูกบังคับให้พลัดถิ่น คิดเป็น 1% ของประชากรโลก และเทียบเท่ากับประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 14 ของโลก จำนวนดังกล่าวรวมถึงผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัย ที่มีรวมกัน 53.2 ล้านคน ที่ต้องพลัดถิ่นภายใต้พรมแดนของความขัดแย้ง

ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ กล่าวด้วยว่า การตอบสนองของนานาชาติต่อผู้คนที่หนีสงครามในยูเครนนั้นเป็นไปในเชิงบวกอย่างท่วมท้น

เราได้ความเห็นอกเห็นใจยามที่มีชีวิตอยู่ และเราต้องการการระดมกำลังที่คล้ายคลึงกัน สำหรับวิกฤตทั้งหมดทั่วโลก แต่ท้ายที่สุด การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นการบรรเทา ไม่ใช่การรักษา

ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหานี้ คำตอบเดียวคือสันติภาพและความมั่นคงเพื่อไม่ให้ผู้บริสุทธิ์ถูกบังคับให้เสี่ยงระหว่างอยู่ที่บ้านหรือเที่ยวบินที่ไม่ปลอดภัยและการเนรเทศ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานแจ้งว่ามีผู้พลัดถิ่น 59.1 ล้านคนในบ้านเกิดเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าปี 2563

ขณะที่ความขัดแย้งและความรุนแรงทำให้เกิดการพลัดถิ่น 14.4 ล้านคนในปี 2564 เพิ่มขึ้นเกือบ 50% จากปีก่อนหน้า ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ เช่น น้ำท่วม พายุ และพายุไซโคลน ส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่น 23.7 ล้านคนในปี 2564 โดยส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

ปิดฉาก “สตาร์บัคส์” ถอนธุรกิจออกจากรัสเซีย

อยเตอร์รายงานว่า สตาร์บัคส คอรป์ (Starbucks Corp.) เชนเครือข่ายร้านกาแฟรายใหญ่ของโลกจากสหรัฐ ประกาศเมื่อวันจันทร์ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่นนครซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน เตรียมยุติการดำเนินกิจการในรัสเซียหลังเปิดให้บริการในรัสเซียมานาน 15 ปี

แม้สตาร์บัคส์จะไม่แถลงอย่างชัดเจนถึงเหตุผลในการถอนธุรกิจออกจากรัสเซีย รวมถึงไม่ได้ให้รายละเอียดทางด้านการเงินจากการถอนธุรกิจดังกล่าว แต่เชื่อว่าเป็นไปด้วยเหตุผลด้านสงครามในยูเครน หลังจากที่ก่อนหน้านี้แมคโดนัลด์เป็นหนึ่งในรายล่าสุดของธุรกิจสัญชาติสหรัฐที่ประกาศถอนตัวจากการทำธุรกิจแดนหมีขาว หลังเข้าไปทำตลาดตั้งแต่ยุคสหภาพโซเวียต

สตาร์บัคส์ให้บริการในรัสเซียครั้งแรกที่กรุงมอสโกเมื่อปี 2007 ปัจจุบันมีสาขาในรัสเซียราว 130 สาขา มีพนักงานทั้งหมดเกือบ 2,000 คน โดยสตาร์บัคส์รับปากว่าพนักงานทั้งหมดจะได้รับค่าจ้างและการดูแลสวัสดิการตามปกติเป็นเวลาอีก 6 เดือน และสตาร์บัคส์พร้อมให้ความช่วยเหลือพนักงานเหล่านี้ ในการหางานใหม่ไม่ว่าจะเป็นงานในภาคธุรกิจบริการหรือไม่