จตุพร ตอบปม อุ๊งอิ๊ง ชวนเสื้อแดงกลับบ้าน-แคนดิเดตนายกฯ-ชะตากรรมซ้ำรอยทักษิณ ?

จตุพร ตอบปม อุ๊งอิ๊ง ชวนเสื้อแดงกลับบ้าน-แคนดิเดตนายกฯ-ชะตากรรมซ้ำรอยทักษิณ ?
เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น.วันที่ 16 พฤษภาคม ที่ลานกิจกรรมใต้อาคารศิลาบาตร มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย จัดพิธีทำบุญให้เเก่วีรชนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์พฤษภา 2535 โดยเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมรำลึก 30 ปี บรรยากาศทั่วไปมีตัวแทนศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และญาติวีรชนเข้าร่วมจำนวนมาก

ในตอนหนึ่ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก่อนขึ้นเวทีเสวนาในงานดังกล่าว โดยกล่าวรำลึกวีรชน รวมถึงตอบคำถามประเด็นต่างๆ ความตอนหนึ่งว่า ประวัติศาสตร์พฤษภา 35 เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ม.รามคำแหง เป็นฐานที่มั่นสุดท้ายฝ่ายประชาชน สมรภูมิที่นี่คือจุดชี้ขาด ถ้าไม่มีรามคำแหง วันนั้นก็จะยังปกครองด้วยคณะทหาร อย่างไรก็ตาม ผ่านมา 30 ปี ประเทศยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะจากเหตุการณ์พฤษภา 35 ต่อมาเพียงแค่ 14 ปีก็มีการยึดอำนาจอีก

“ไทยอยู่ในวงจรอุบาทว์อันยาวนาน สลับอำนาจระหว่างนักการเมืองกับทหาร ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องเตือนใจในวันนี้ว่า 30 ปีที่แล้วประชาชนมีความสามัคคีเป็นเอกภาพ มี 2 ข้าง คือ ประชาธิปไตยกับเผด็จการเท่านั้น จึงมีพลังในการต่อสู้ จนคณะทหารที่แข็งแรงมากไม่สามารถท้าทายพลังประชาชนที่สามัคคีได้ สำหรับการแบ่งฝักฝ่ายที่มากกว่า 2 ฝ่ายด้วยซ้ำ ทำให้ประเทศล้าหลัง ความจริงไทยควรก้าวไปข้างหน้า ทรัพยากรมนุษย์ของเราไม่ได้ไร้ประสิทธิภาพ แต่ต่างคนต่างทำ ไม่ร่วมมือ คิดแต่ส่วนตัว ไม่เอาชาติบ้านเมืองเป็นใหญ่ หนทางข้างหน้า เรายังไม่พ้นจากความเลวร้ายนี้ได้ อยากให้ทุกฝ่ายเห็นบทเรียนของ 30 ปีนี้ ถ้าประชาชนสามัคคีกันไม่มีอำนาจไหนต้านทานพลังได้ พลังมือเปล่าใหญ่กว่าทุกพลังที่มีอาวุธ ควรมาเริ่มต้นใหม่ เปลี่ยนแปลงใหม่ให้มีเอกภาพ มิฉะนั้นประเทศเราจะถอยหลังกันต่อไป” นายจตุพรกล่าว

นายจตุพร ยังตอบคำถามสื่อมวชนในประเด็นที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ชวน ‘คนเสื้อแดงกลับบ้าน’ โดยกล่าวว่า ถือว่าเป็นคำเชิญชวน ทั้งนี้ ต้องยอมรับความจริงว่า ตั้งแต่ปี 2553 หรือถ้านับจุดเริ่มต้นคนเสื้อแดงคือ 2550 เท่ากับ 15 ปี จนบัดนี้ คนเสื้อแดงเป็นมนุษย์ที่ได้รับความอยุติธรรมมากที่สุด ถูกปราบมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ตนก็เข้าเรือนจำมาแล้ว 5 ครั้ง คดีเป็นหางว่าว ถูกตัดสิทธิทางการเมือง บัดนี้อยู่ในฐานะประชาชน

“ในช่วง 15 ปีนี้ มีเรื่องราวมากมาย เราสู้ไม่ใช่เพื่อชนะวันนี้ แต่สู้ให้คนรุ่นลูกหลานในวันหน้า จะได้ไม่รับชะตากรรมเหมือนเรา ดังนั้น เป็นสิทธิของคุณอุ๊งอิ๊งที่จะชวนคนเสื้อแดงกลับ อย่างไรก็ตาม วันนี้ต้องยอมรับความจริงว่า คนเสื้อแดงไปอยู่ตามที่ต่างๆ มากมาย อยู่ที่ว่าแต่ละคนตัดสินใจอย่างไร ถือว่าเป็นปรากฏการณ์และเป็นสิทธิที่จะทำได้ เพราะคนเสื้อแดงเปิดกว้าง ผมพูดเสมอว่า การต่อสู้ไม่ว่า อดีตจนถึงวันนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ประชาชนก็ยังเป็นประชาชนวันยังค่ำ เช่นเดียวกับพี่น้องคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทยมีสิทธิชวน ขึ้นอยู่กับว่าพี่น้องเสื้อแดงจะตัดสินใจอย่างไร รวมถึงส่วนอื่นก็มีสิทธิชวนเช่นกัน เชื่อว่าคนเสื้อแดงใช้ดุลพินิจคิดได้เองว่าจะไปอยู่ไหน” นายจตุพรกล่าว

สำหรับกรณีที่ว่า หาก น.ส.แพทองธารเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นายจตุพรกล่าวว่า อยากให้มองเป็นปรากฏการณ์ปกติ เมื่อมีการเขียนกฎกติกาในรัฐธรรมนูญว่า บุคคลอายุ 35 ขึ้นไปสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้น ถ้าได้รับการเลือกตั้งเสียงเกินกึ่งหนึ่งซึ่งก็ยังมีด่านข้างหน้า เราเคารพสิทธิ เสรีภาพและการตัดสินใจของประชาชน ดังที่ อาจารย์สุขุม นวลสกุล เคยกล่าวไว้ว่า สัจธรรมคือ ในระบอบประชาธิปไตย ถ้าเสียงส่วนใหญ่ให้หัวเดินต่างเท้าได้ เราก็ต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชน

“ถ้าประชาชนเลือก คุณอุ๊งอิ๊งก็มีสิทธิเป็นนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ยังเป็นได้ ใครก็มีสิทธิ จะบอกว่าคุณอุ๊งอิ๊งเป็นเด็ก ประยุทธ์ก็เป็นคนแก่ แต่ทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่แก่ หรือเด็กแต่อยู่ที่ประชาชนตัดสินใจ วันเลือกตั้งยังไม่รู้จะเกิดเมื่อไหร่ กติกาที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่เห็น ที่เห็นยังไม่ใช่ ที่ใช่ยังไม่เห็น ยังลับ ลวง พรางอีกเยอะ ในทางการเมือง ปรากฏการณ์วันนี้หลอกกันทั้งนั้น ของจริงยังไม่เห็น ที่เห็นเป็นของหลอก” นายจตุพรกล่าว

เมื่อถามถึงกรณีข้อคิดเห็นที่มีผู้กล่าวว่า หาก น.ส.แพทองธารขึ้นมาเป็นนายกฯ อาจนำไปสู่เหตุการณ์เดียวกับนายทักษิณ ชินวัตร นายจตุพรกล่าวว่า ตนเชื่อว่า น.ส.แพทองธารรู้ว่าเส้นทางไหนเดินไปแล้วหนทางสุดท้ายจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้แม้ยังไม่เกิด แต่บทเรียนในอดีตทำให้รู้ได้ว่า ควรทำอย่างไร

“ถ้าไปถึงจุดนั้น เชื่อว่าแต่ละคนต่างสะสมบทเรียน ไม่อยากให้สังคมตีตนไปก่อนไข้ หรือวิตกเกินเหตุ ถ้าเราเคารพหลักประชาธิปไตย คุณอุ๊งอิ๊งมีสิทธิ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็มีสิทธิ ทุกคนที่ไม่ได้ถูกตัดสิทธิก็ล้วนมีสิทธิเช่นกัน” นายจตุพรกล่าว