‘จุรินทร์’ ชงตั้งอนุกก.ดูแลราคา-ปริมาณปาล์ม ย้ำห้ามขึ้นราคา ‘คาร์ซีท’ ขู่โทษหนัก

‘จุรินทร์’ ชง กนป. ตั้งคณะอนุกรรมการดูแลราคา-ปริมาณปาล์ม สั่งเช็กสต็อกทุก7วัน ชี้ยังซื้อได้ 65-68 บาท/ลิตร ย้ำห้ามขึ้นราคา ‘คาร์ซีท’ ขู่โทษหนักคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับ 1.4 แสน ประสานห้างนำคาร์ซีทราคาประหยัดเข้ามาขาย เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชน

 

วันที่ 12 พฤษภาคม ที่กระทรรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มด้านการตลาดครั้งที่ 1/ 2565 ว่า

ปริมาณผลปาล์มในประเทศ มีประมาณ 17.9 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน ขณะนี้ราคาผลปาล์มในประเทศราคาดีขึ้นมาก เช่นเดียวกับราคาพืชผลการเกษตรอื่นๆ เช่น ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ข้าวหรือผลไม้ โดยราคาผลปาล์ม ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2565 กิโลกรัมละ 9.80-11.20 บาท เพิ่มขึ้น 52% เทียบราคาเฉลี่ยทั้งปี 2564 เมื่อราคาในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มขวดบริโภคเพิ่มสูงขึ้นด้วย เพราะต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ราคาน้ำมันปาล์มขวด ถ้าคิดตามโครงสร้างต้นทุน จะต้องตกประมาณขวด(ลิตร)ละ 76 บาท แต่จากการบริหารจัดการของกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน ร่วมกับผู้ประกอบการทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ราคาลงจาก 76 บาทเหลือ 65-68 บาทต่อขวด(ลิตร)

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า เพื่อให้การบริหารจัดการผลปาล์มดิบของเกษตรกร การผลิตน้ำมันปาล์มดิบของโรงสกัด และโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มรีไฟน์เข้าสู่ภาวะสมดุล ไม่ให้เกิดปัญหาขาดแคลนสำหรับบริโภค และมีเสถียรภาพด้านราคาเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการโรงสกัด จึงเห็นชอบให้ตั้งอนุกรรมการ 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ ตัวแทนเกษตรกร และ ตัวแทนผู้ประกอบการ

ในส่วนตัวแทนภาครัฐประกอบด้วย 5 หน่วยงาน คือ กรมการค้าภายใน กรมการค้าต่างประเทศ กรมศุลกากร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และกรมพัฒนาพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน นอกนั้นเป็นตัวแทนจากสมาคมโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม สมาคมผู้ผลิตไบโอดีเซลไทย และผู้แทนคลังรับฝากน้ำมันปาล์ม ร่วมเป็นอนุกรรมการ ทำหน้าที่ ได้แก่

1.วิเคราะห์สถานการณ์การผลิต การตลาด ราคาและปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาผลปาล์มและน้ำมันปาล์ม 2.ให้กำหนดปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบที่เหมาะสมกับสถานการณ์และให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ เพื่อป้องกันน้ำมันปาล์มขาดแคลน 3.ให้มีหน้าที่กำหนดมาตรการแนวทางเงื่อนไขหลักเกณฑ์วิธีการและอื่นๆที่เกี่ยวกับการให้เกิดความสมดุลของน้ำมันปาล์มให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติ และภารกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว

ที่ประชุมได้มีมติให้รับทราบข้อสั่งการของกรมการค้าภายใน โดยอธิบดี สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ตรวจสต๊อกและรายงานสต๊อกให้อนุกรรมการชุดนี้รับทราบทุก 7 วัน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพื่อติดตามสถานการณ์โดยใกล้ชิด ให้มีน้ำมันปาล์มบริโภคเพียงพอและดูแลราคาให้มีเสถียรภาพเหมาะสมต่อไป เพื่อเป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายทั้งเกษตรกร โรงสกัด ผู้ประกอบการและผู้บริโภค ทั้งนี้ เพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ(กนป.)

“ขณะนี้มีสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบประมาณ 180,000 -200,000 ตัน ยอมรับว่าราคาผลปาล์มสูงขึ้นมาก เป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นนโยบายของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐบาล ทำให้ผลปาล์มมีราคาสู งเพื่อประโยชน์กับเกษตรกร ซึ่ง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผลปาล์มตกเหลือกว่า 2 บาทต่อกิโลกรัม ผมเข้ามาบริหารจัดการทำให้ราคาปาล์มสูงขึ้นเป็น 8-12 บาท แต่อาจกระทบต่อต้นทุนการผลิตน้ำมันปาล์มบริโภค จึงต้องมีคณะอนุกรรมการชุดนี้ ช่วยดูแลสร้างสมดุล ตามนโยบาย วิน-วินโมเดล ให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ และกระทรวงพาณิชย์กำกับราคาน้ำมันปาล์มขวดบริโภค ที่แม้ต้นทุนจะสูงมากแต่อย่าให้แพงจนเกินควร ” นายจุรินทร์ กล่าว

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมการค้าภายใน ระบุว่า ช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2565 มีผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาด 5.75 ล้านตัน มากสุดเดือนมีนาคม 1.82 ล้านตัน จากนั้นผลผลิตปาล์มน้ำมัน มีแนวโน้มลดลง โดยเดือนพฤษภาคม จะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.70 ล้านตัน

รายงานข่าวจากกรมการค้าภายใน ระบุว่า จะนำผลการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มด้านการตลาดครั้งที่ 1/ 2565 เข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ที่มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ซึ่งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ เป็นการหารือร่วมผู้เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย ภาครัฐ เอกชน เกษตรกร เพื่อกำหนดความร่วมมือและแนวทางดูแลราคาและสต็อกที่สมดุล

ห้ามขึ้นราคา “คาร์ซีท”

นายจุรินทร์ ยังกล่าวถึงกรณีความเป็นห่วงเรื่องราคาคาร์ซีทปรับตัวสูงขึ้นมากในขณะนี้ว่า คาร์ซีท ที่จะบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย.65 จึงเหลือเวลาอีกประมาณ 4 เดือน ที่กำหนดว่าเด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบ จะต้องมีคาร์ซีทสำหรับการนั่งโดยสารในรถยนต์ สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์เข้ามาช่วยดูแล คือกรมการค้าภายใน โดยอธิบดีกรมการค้าภายในเรียกประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปแล้วเมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา

โดยเชิญห้างสรรพสินค้าและผู้บริหารแพลตฟอร์มต่างๆ ที่จำหน่ายคาร์ซีท และสั่งการให้ 1.ห้ามปรับขึ้นราคาโดยเด็ดขาด 2.ถ้าขอปรับราคาเพราะต้นทุนนำเข้าสูงขึ้นหรือเหตุอื่น ต้องขออนุญาตกรมการค้าภายในก่อน และขอความร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าที่มีศักยภาพ เช่น แม็คโคร โลตัส บิ๊กซี เป็นต้น ให้ช่วยนำเข้าคาร์ซีทราคาประหยัดมาจำหน่ายในประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคปฏิบัติตามกฎหมายต่อไป

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า จากนี้ไปจะติดตามการจำหน่ายในแพลตฟอร์มต่างๆโดยกรมการค้าภายในแจ้งแล้วว่า ห้ามแก้ไขหรือปรับราคาขึ้น หากฉวยโอกาส ตรวจพบจะดำเนินคดีตามมาตรา 29 ของพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ถือว่าเข้าข่ายค้ากำไรเกินควร โทษจำคุกไม่เกิน 7 ปีหรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากผู้บริโภคพบข้อสงสัยว่าจะเป็นการค้ากำไรเกินควร ขอให้ช่วยแจ้งสายด่วนกระทรวงพาณิชย์ 1569 เพื่อเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

“ขณะนี้เท่าที่ติดตามราคาคาร์ซีทในตลาด จากการสำรวจของพาณิชย์จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่าราคามีความแตกต่างกันมากตามคุณภาพรูปแบบต้นทุนนำเข้า ตกเฉลี่ยประมาณ 1,500-30,000 บาท ซึ่งแตกต่างกันมาก จะต้องดำเนินการติดตามโดยใกล้ชิดต่อไป

กระทรวงพาณิชย์สั่งการให้ผู้เกี่ยวข้องแจ้งราคาจำหน่ายมายังกรมการค้าภายใน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ และขอบคุณผู้ประกอบการที่ให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคจะได้ปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อความปลอดภัยของเด็กที่ต้องโดยสารรถยนต์ต่อไป” นายจุรินทร์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้เป็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และจะมีผลในวันที่ 5 ก.ย.65 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา พระราชบัญญัติจราจรทางบก ฉบับล่าสุด ซึ่งยังมีเวลาอีกประมาณ 4 เดือน ผลทางกฎหมายการบังคับใช้จึงจะเกิด

ดังนั้นประชาชนยังมีเวลาเตรียมตัว และกระทรวงพาณิชย์เป็นปลายทางของสถานการณ์ด้านราคาก็จะได้ประสานงานเรื่องสินค้าได้มาตรฐานราคาย่อมเยา นำเข้ามาให้เป็นทางเลือกและโอกาสของประชาชนไม่ให้เป็นภาระ