ทนายนกเขา-จตุพร แถลงหน้าสถานทูตสหรัฐ จี้ ‘ไบเดน’ ยกเลิกแถลงวิสัยทัศน์ร่วม อย่าละเมิดเอกราชไทย

ทนายนกเขา จับมือ จตุพร แถลงหน้าสถานทูตสหรัฐ จี้ ‘ไบเดน’ ยกเลิกแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วม-พันธกรณียุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก

 

วันที่ 12 พฤษภาคม 2565 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ กลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) นำโดย นายนิติธร ล้ำเหลือ นายพิชิต ไชยมงคล และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ยื่นหนังสือถึงประธานาธิบดีสหรัฐ โจ ไบเดน เพื่อยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯ และพันธกรณีจากแผนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก และองค์กรนาโต้-2

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ เมื่อเวลา 09.55 น. มีประชาชนจำนวนหนึ่ง เดินทางมารวมตัวที่หน้าสถานทูตสหรัฐฯ ก่อนที่ประชาชน 9 ราย สวมเสื้อผ้าสีฟ้า-เหลือง ยืนเรียง 2 แถว ยืนชูป้ายข้อความ พร้อมร้องเพลงและโบกสะบัดธงชาติ อาทิ เพลงเราสู้ และเพลงที่มีเนื้อหาถึงการรวมพลัง กำจัดพวกโกงกินบ้านเมืองให้สิ้นซาก เพื่อลูกหลานภาคหน้าจะไม่ฝืดเคืองด้านเศรษฐกิจ ไปจนถึงการรวมใจทุกฝ่ายสร้างไทยให้เกรียงไกร

โดยข้อความในป้าย อาทิ Don’t create war in other countries but not USA, Thailand is not Ukraine/ Irak, NATO get out, War never benefitted anyone but Negotiation for common goal can benefit everyone ไปจนถึง USA/ Japan get out, Don’t use Thailand to destroy China

นายนิติธร แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) กล่าวว่า ทราบว่ามีพ่อแม่พี่น้องประชาชนหลายท่าน ที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด ขอบคุณที่มาร่วมกันในวันนี้ ท่านประธานาธิบดี โจ ไบเดน เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา พี่น้องประชาชนชาวอเมริกาทุกท่าน ตนในฐานะประชาชนคนไทย และคนไทยทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ อยากจะบอกไปยังพี่น้องชาวสหรัฐว่า เราทุกคนเป็นมิตรกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นวันนี้ที่คนไทยต้องออกมา เป็นเพราะประธานาธิบดีของท่าน ไม่ใช่เพียงท่านนี้ แต่ในอดีตที่ผ่านมาก็สร้างปัญหาให้กับประเทศไทยมาโดยตลอด

“ผมอยากบอกพี่น้องประชาชนอเมริกาว่า ไทยนั้นมี เอกราช และอิสระ ทุกคนคงทราบ แต่สำหรับประธานาธิบดีสหรัฐ ผมไม่มั่นใจ ไม่เคยเชื่อว่าอเมริกามีเอกราชอย่างแท้จริง ถ้ามีจริงๆ คงไม่ได้ตกอยู่ภายใต้กลุ่มที่เรียกว่า ไซออนิสต์, เครือข่าย Deep State อเมริกาจะเข้าใจคำว่า ‘เอกราช’ จะไม่เข้าไปทำลายเอกราชของประเทศใด ไม่เข้ามาทำลายในประเทศไทย อิสระของประเทศไทย ของคนเอเชียนั้น มีความหมายที่ลึกซึ้ง กว้างขวางกว่าและชัดเจนกว่าคำว่า ‘เสรีภาพ’ ของอเมริกา ซึ่งเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความเป็นอิสระที่คนเอเชียมีมานานแล้ว ส่วนคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ ของท่านนั้น ประเทศไทยมีมายาวนานกว่าท่าน ปรากฏในพุทธศาสนา ในการปกครองสมัยพ่อขุนรามคำแหง สิ่งที่ท่านนำเสนอเหล่านี้ เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อจะเข้ายึดครองและทำลายประเทศอื่นๆ” นายนิติธรกล่าว

นายนิติธรกล่าวต่อว่า ท่านประธานาธิบดี โจ ไบเดน ท่านอาจจะเก่งเรื่องจิตวิทยา แต่พี่น้องคนไทย ประชาชนทั่วโลกเก่งเรื่อง ‘จิตสำนึก’ คือเห็นเพื่อนมนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์และเป็นคนเท่ากัน การปฏิบัติเช่นนั้นไม่ใช่อย่างที่ท่านพูด ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของท่านคือ อเมริกาใหญ่ และฆ่าได้ทุกประเทศ ฆ่าได้ทุกคน ปล้นทรัพยากรต่างๆ ฉะนั้น วันนี้ประชาชนคนไทย และทั่วโลก เขาลุกขึ้นตื่น พร้อมสู้กับอำนาจที่กดขี่ อย่าได้ยุ่งกับเอกราชและอิสระของประเทศไทย

“วันนี้พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหลาย จะเดินหน้า ความสัมพันธ์มีอยู่อย่างปกติ แต่ความเป็นเอกราชและอิสระ เราจะทำให้คุณเคารพเราให้ได้ ถ้าคุณเคารพเราไม่ได้ คุณก็อยู่กับเราไม่ได้ อเมริกาและประธานาธิบดี ต้องเรียนรู้และปรับปรุงตัว แนวคิดที่จะอยู่กับมิตรประเทศ ที่จะอยู่กับประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน อยู่อย่างเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ใช่อยู่แบบ เป็นหัวหน้าผู้สั่งการ หรือทำตัวเป็นเจ้าโลก โดยใช้ประชาชนประเทศต่างๆ เป็นเพียงเครื่องมือ” นายนิติธรกล่าว และว่า

“วันนี้พี่น้องประชาชนคนไทย จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงท่าน เป็นกรณีที่รัฐบาลของเราไปทำ นั่นเป็นเพียงท่าน กับรัฐบาลเท่านั้น ไม่ใช่ประชาชนคนไทย สิ่งที่เราจะเดินหน้าต่อไปนี้ ก็คือการแก้ไขปัญหาความยากจน เศรษฐกิจของประเทศไทย โดยใช้เอกราช ความเป็นอิสระ และความเป็นเจ้าของอธิปไตยของประชาชนคนไทย เราจะมีสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศอิหร่าน รัสเซีย อย่างน้อยที่สุดก็คือการซื้อน้ำมัน เพราะขายให้กับประเทศต่างๆ ในราคาถูก ปฏิเสธไม่ได้”

นายนิติธรกล่าวอีกว่า ที่ท่านอยู่ เป็นผืนแผ่นดินไทย เพื่อความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ก็ขอให้ท่านอยู่ในพื้นที่ของท่าน อย่าได้เที่ยวส่งคนออกไปก่อความวุ่นวาย ไปทำลายสถาบัน ไปยุยงเยาวชนของเรา ฝากแค่นี้ว่า นับจากวันนี้ถ้าท่านออกมาเพื่อ ‘การท่องเที่ยว’ เรายอมรับได้ ‘การประสานงาน’ เรายอมรับได้ แต่ถ้าออกมาเพื่อการแทรกแซงทางการเมือง ถ้าออกมาเพื่อทำลายชาติ ศาสนา สถาบัน และพี่น้องประชาชน เรารับไม่ได้ ฉะนั้น ที่ท่านออกมาทำภารกิจแบบนี้ เราก็จะไปทำภารกิจเช่นเดียวกัน

“ฝากไว้ว่า ‘เปลี่ยนวิธีคิด แล้วคบกับมิตรประเทศอย่างเท่าเทียม’” นายนิติธรกล่าว

ด้าน นายจุตพร กล่าวว่า คำว่ามหามิตร มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ผ่านมานั้นประเทศไทย ร่วม 2 ศตวรรษ ก็ทำตามสหรัฐทุกอย่าง ยินยอมให้ใช้พื้นแผ่นดินนี้เป็นฐานที่มั่น ในการจัดการกำลังทหารไปโจมตีประเทศเพื่อนบ้าน ตายนับล้านๆ ชีวิต แต่มหาอำนาจที่ประกาศตนเป็นมหามิตรอย่างสหรัฐนั้น ไม่ได้เคยสำนึกถึงแผ่นดินนี้

“บทเรียนปี 2518 ที่คนหนุ่มสาวร่วมกับ พลตรีหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ขับไล่ฐานทัพสหรัฐ กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในประเทศไทย สหรัฐอเมริกาได้เอาเปรียบแผ่นดินนี้มากมาย ปฏิบัติเหมือนกับประเทศนี้เป็นเมืองขึ้นของสหรัฐ กรณีอนุสัญญา อินโด-แปซิฟิกนั้น เป็นเรื่องที่คนไทยจะต้องรู้ว่า การที่นายกของไทย ไปลงนามร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ ในการต่อต้านเป็นปฏิปักษ์กับประเทศจีนนั้น เป็นเรื่องที่เราไม่อาจจะรับได้ เช่นเดียวกัน ถ้าวันหนึ่งประเทศไทย นายกฯ ไปลงนามกับประเทศจีน เป็นปฏิปักษ์กับประเทศสหรัฐ เราก็จะไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน เรามาที่นี่ ไม่ใช่พวกมหาอำนาจประเทศใดประเทศหนึ่ง ไม่ได้เป็นพวกจีน รัสเซีย อังกฤษ และไม่ใช่อเมริกา เราเป็นคนไทย มีความรักชาติบ้านเมือง และเห็นว่าการร่วมมือของนายกไทย กับทางการของสหรัฐนั้น เป็นการชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าไทย อย่างที่เราไม่สามารถป้องกันตัวเองได้” นายจุตพร กล่าว

“กงสุลที่ไหนบ้าง สร้างด้วยมูลค่านับหมื่นล้าน ต่างฝ่ายต่างจับตามอง ผมพยายามพูดชัดเจนว่า ถ้าสหรัฐต้องการก่อสงครามกับจีน ต้องใช้แผ่นดิน อเมริกา กับจีน การจะก่อสงครามกับรัสเซีย ก็ต้องเป็นแผ่นดินรัสเซียกับแผ่นดินอเมริกา ไม่ใช่ไปก่อสงครามกับจีนในแผ่นดินของประเทศไทย เรายอมไม่ได้

เพราะฉะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุณฟังผมนะ ‘ลองโควิดคนไทยทนได้ ลองประยุทธ์ ชักจะไม่ไหวแล้ว’ ความจริงวันนี้คุณควรจะต้องเดินไปบอกกับทางการสหรัฐว่า ที่ลงนามเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2562 นั้น คนไทยไม่อาจที่จะยอมรับได้ ขอถอนการลงนามต่างๆ ให้เป็นโมฆะเสีย เพราะอีกไม่กี่วัน พล.อ.ประยุทธ์ก็จะต้องไป แต่ประเทศไทยจะต้องอยู่ตลอดไป ถ้าไม่ยกเลิก ไทยก็จะเจอสงคราม เหมือนยูเครนเจอในตอนนี้” นายจตุพรชี้

นายจุตพร กล่าวต่อว่า ตนเรียนกับพี่น้องว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบาก ฝ่ายความมั่นคงของประเทศไทยและทางการสหรัฐมเอริกา ปิดข่าวแทบจะเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ การที่คณะประชาชนคนไทย ไปจัดงานที่หอศิลป์ ปิดข่าวร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ว่าได้ แต่วันนี้ ฝ่ามือไม่สามารถปิดแผ่นฟ้าและความหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศนี้ได้ ขอเตือนไปยังผู้ที่ดำเนินการปิดข่าวว่า ปิดเท่าไหร่เราจะยิ่งไปเปิดแผ่นดินนี้ ให้คนหูตาสว่าง และปากสว่างกันทั้งแผ่นดิน เพื่อบอกว่า ‘อเมริกาจะชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน ร่วมกับรัฐบาลของประเทศไทย’

การที่มาสถานทูตสหรัฐนั้น ไม่ได้มาประกาศศึกกับอเมริกา แต่ต้องบอกกับอเมริกาว่า ‘พอได้แล้ว’ อดีตใช้แผ่นดินนี้ไปฆ่าเพื่อนบ้าน วันนี้กำลังใช้แผ่นดินนี้ไปทำเหมือนกับยุคสงครามเย็น ผลของสงคราม ผลทางเศรษฐกิจ การค้าขายกับสหรัฐเป็นอีกระดับหนึ่ง แต่เกษตรกรของประเทศไทย อเมริกาต้องรู้ว่า เกษตรกรไทยเขาต้องขายประเทศจีน ‘ลำไย’ นอกจากไทยแล้ว มีจีนกินประเทศเดียว อเมริกาไม่ได้กินทุเรียน กินมังคุด ไม่ได้ซื้อยางพาราแบบจีนซื้อ เกษตรกรของเราจำเป็นต้องฝากการขายกับประเทศจีน แต่ตอนนี้อเมริกาลงนามกับไทยเพื่อประกาศศึกกับจีนนั้น ที่ตายก่อนเพื่อนคือเกษตรกรไทย

ตอนนี้ทุเรียนเจอแล้ว ลำไยกำลังจะเจอ แล้วจะเจอทุกอย่าง มหามิตรต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้ แต่ที่ทำนี้เป็นการเอาเปรียบ บังคับประเทศเล็กกว่า ให้เขาไม่มีทางเลือก

“พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะไม่มีทางเลือกแบบคุณ แต่ประชาชนคนไทยเขาจะมีทางเลือก คุณยิ่งปิด ยิ่งไม่หยุดยั้ง ลากสงครามเข้ามาในประเทศนี้ คุณจะเจอกับคนไทยทั้งแผ่นดิน

หนักกว่าปี 2518 ที่เคยไล่ฐานทัพเมกา หากท่านร่วมกันหยุดในวันนี้ เราต่างคนต่างอยู่ ต่างเป็นเพื่อนเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าคุณไม่หยุด คนไทยจะหยุดคุณเอง” นายจุตพรกล่าว

จากนั้น มีการร่วมอ่านแถลงการณ์หน้าสถานทูตสหรัฐ ความว่า

กลุ่มรวมประชาชนคนไทย (ปท.)
12 พฤษภาคม 2565

เรื่องยกเลิกแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วม Joint Vision Statement 2020 ระหว่างไทย- สหรัฐอเมริกา ค.ศ.2020 และพันธกรณีจากแผนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก และองค์กรนาโต้ 2

เรียนคณะท่าน นายโจเซฟ อาร์. ไบเดน จูเนียร์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา, สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำราชอาณาจักรไทย ช่วงระหว่างวันที่ 12-13 พฤษภาคม 2565 สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดสหรัฐและผู้นำอาเซียน สมัยพิเศษ ASEAN-U.S. Special Summit ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย ได้ร่วมเดินทางประชุมด้วยตัวเองตามคำเชิญของคณะท่านนั้น แน่นอนว่า หากเป็นสถานการณ์ปกติ ย่อมเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้นำไทยจะได้สานสัมพันธ์แสวงหาความร่วมมือกันกับผู้นำระดับโลก หลังจากที่ทุกชาติต้องกักตัวเองในช่วงวิกฤตโควิด-19 มาตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้สถานการณ์สู้รบรัสเซีย-ยูเครน คุกรุ่น และมีทีท่าจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยที่สหรัฐประกาศสนับสนุนยูเครนอย่างชัดเจน ตลอดจนความพยายามของสหรัฐ ที่จะสกัดกั้นการแพร่ขยายอิทธิพลในภูมิภาคอาเซียนของจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรสัมพันธ์ของรัสเซียมาโดยตลอด ทำให้ประชาชนไทยเห็นว่า การประชุมครั้งนี้อาจมีวาระซ่อนเร้น ที่หาได้ใช้ความสำคัญกับความร่วมมือในรอบ 45 ปี ของสหรัฐ-อาเซียนตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

สืบเนื่องจากเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำเนียบ ประธานาธิบดี white house มีการรายงานยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐ Indo-pacific strategies of united states จัดทำโดยกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุถึงประเทศไทยว่า เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิค ในฐานะพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ ณ จุดกลางของอาเซียน รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุว่า ภูมิภาคเอเชียจะมีความมั่นคง หมายถึงจีนต้องไม่มีบทบาท และสหรัฐอเมริกาต้องเป็นผู้นำแห่งเอเชียแปซิฟิก สหรัฐจึงเกิดความมั่นคง รวมทั้งยังระบุว่า ไทยคือหนึ่งใน 5 ประเทศพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐ ด้วยสนธิสัญญาที่แข็งกร้าว ประกอบด้วย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และไทย รวมทั้งก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย ยังร่วมลงนามกับ นายมาร์ค เอสเปอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ในแถลงการณ์วิสัยทัศน์ Joint Vision Statement ระหว่างไทย-สหรัฐ ค.ศ.2020 ว่าด้วยการยกระดับความเป็นพันธมิตรและเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ด้านการป้องกันประเทศเพื่อร่วมต่อต้านศัตรู จนกระทั่งทำเนียบขาวนำชื่อประเทศไทยไปใส่ไว้ในรายการ ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก อย่างเป็นทางการ เป็นประเทศใกล้ชิดที่มีสนธิสัญญาผูกพันกัน

ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น กลุ่มรวมประชาชนคนไทย จึงมีข้อกังวลว่า จะเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากนานามิตรประเทศว่า ประเทศไทยไม่รักษาดุลยภาพความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากเกิดความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธภายในภูมิภาคนี้ จึงขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลและประชาชนของสหรัฐอเมริกา ดังนี้

1.ยกเลิกแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วม ระหว่างไทยอเมริกา พ.ศ.2520 ว่าด้วยการยกระดับความสัมพันธ์และความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศ ผู้ร่วมต่อต้านศัตรู เนื่องจากผู้แทนรัฐบาลไทยไปลงนามโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และประชาชนไม่ทราบในรายละเอียดและข้อเท็จจริง จนสร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีกับภูมิประเทศอื่นของไทย

2.ยกเลิกพันธกรณีที่มีผลสืบเนื่องมาจาก ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐอเมริกา และพันธกรณีที่มีผลสืบเนื่องไปสู่การจัดตั้งองค์กรนาโต้ 2 ในอาเซียน

3.ขอให้สหรัฐอเมริกายุติการอ้างสนธิสัญญา ข้อตกลง แถลงการณ์ร่วม เพื่อนำไปสู่บทสรุปแต่เพียงฝ่ายเดียวว่า ประเทศไทยจะเป็นพันธมิตรร่วมรบ เลือกข้างอยู่กับสหรัฐในการต่อต้านศัตรู ย่อมไม่ถือเป็นมารยาททางการทูตที่ดีต่อมิตรประเทศ เนื่องจากเป็นเป้าหมายยุทธศาสตร์ของสหรัฐเพียงฝ่ายเดียว รวมทั้งจะก่อปัญหาให้กับประเทศไทย ดังนั้น สหรัฐจึงไม่ควรกระทำการดังกล่าวซ้ำอีก

4.หากสหรัฐจะอาศัยข้ออ้างในการประชุมสุดยอดสหรัฐและผู้นำอาเซียน สมัยพิเศษ เพื่อดำเนินการใดใดร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนก่อให้เกิดข้อสงสัยในความสัมพันธ์อันดีของไทยกับมิตรประเทศอื่น เสมือนเป็นการเลือกข้างนั้น ย่อมถือเป็นการกระทำโดยไม่ได้รับฉันทามมติจากประชาชนชาวไทย และประชาชนชาวไทยจะร่วมคัดค้านอย่างถึงที่สุด

ประชาชนคนไทย จึงเรียนมาเพื่อขอยืนยันว่า ประชาชนคนไทยยังคงเป็นมิตรภาพกับสหรัฐอเมริกา อันถือเป็นความสัมพันธ์ต่อเนื่องมายาวนานกว่า 200 ปี บนพื้นฐานความร่วมมือในหลากหลายมิติ ที่ต้องเคารพ ยอมรับความมีอธิปไตย ให้เกียรติซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียม และประเทศไทยยึดมั่นในนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ ขอเป็นมิตรกับทุกประเทศ ยึดมั่นในเส้นทางพัฒนาอย่างสันติ ยืนหยัดต่อความถูกต้อง ความก้าวหน้า ความยั่งยืน และมวลมนุษยชาติ

ขอแสดงความนับถือ
นายนิติธร ล้ำเหลือ และนายจตุพร พรหมพันธุ์

จากนั้น นายนิติธร และนายจตุพร ร่วมลงนามท้ายแถลงการณ์ ก่อนยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงรัฐบาลสหรัฐฯ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจของสถานาทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เป็นผู้รับหนังสือ

เมื่อถามว่า หากไม่มีการดำเนินการตามข้อเรียกร้อง ทางกลุ่มจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

นายจตุพรกล่าวว่า ไทยต้องประสบสถานการณ์เลวร้ายกว่ายูเครน เราไม่มีทางเลือกอื่น ต้องทำความจริงให้ปรากฏ และเชิญชวนคนไทย มาหยุดยั้งนิยายฉบับนี้

“ผมพูดชัดเจนว่า สัญญาในลักษณะเดียวกัน ถ้าไปทำกับทางการจีนหรือทางการประเทศใด อย่างที่ไทยทำกับสหรัฐ เราก็ไม่มีทางจะไปยอมรับ เราไม่ได้เลือกข้างมหาอำนาจประเทศใด เรามีข้างเดียว คือประเทศไทยเท่านั้น ถ้าสหรัฐเห็นแก่ความสัมพันธ์กว่า 2 ศตวรรษ จะต้องร่วมกันยุติกับรัฐบาลไทย เพราะไบเดน และประยุทธ์ ไม่กี่วันก็ต้องไป แต่ 2 ประเทศนี้จะยังอยู่

นายจตุพรกล่าวต่อว่า เราต้องการหยุดยั้งสงคราม ไม่ต้องการให้เกิดเสรีไทยขึ้นมา วันนี้เราไม่ได้จะตายจากสงคราม แต่จะตายจากเศรษฐกิจก่อน จึงมาบอกมหามิตรอย่างสหรัฐว่า จงเห็นแก่ความเป็นมิตร ยกเลิกข้อตกลงนี้เสียกับประเทศไทย ความจริง พล.อ.ประยุทธ์ท่านต้องมาขอบคุณเราด้วยซ้ำ ที่คนไทยออกมาบอกว่า ไม่สบายใจ ขอยกเลิกสัญญานี้กันเถอะ

“ถ้าท่านเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และเห็นแก่ชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง วันนั้นอเมริกาไม่สามารถอุ้มท่านได้ แต่คนไทยคือผู้ที่ได้รับผลโดยตรง โดยเฉพาะในแผ่นดินที่มีจุดยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะที่เชียงใหม่ สถานกงสุลจะต้องทำความจริงให้ปรากฏ กงสุลที่ไหนมูลค่านับหมื่นล้าน การกระทำเป็นเครื่องชี้เจตนา”

ถ้า 2 ผู้นำประเทศนี้ไม่หยุด พี่น้องประชาชนอย่างพวกเราจะมาหยุดเอง การที่เราเกรงใจประเทศอเมริกา ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถซื้อน้ำมันจากรัสเซีย จากอิหร่านได้ ราคาน้ำมันไม่ควรถึงครึ่งจากที่ขายในปัจจุบัน ‘ไทยเกรงใจอเมริกา แต่อเมริกาไม่เคยเกรงใจไทยเลย’ ไม่ให้คบกับใคร ทั้งที่ไทยเสียผลประโยชน์ คนไทยจึงต้องซื้อน้ำมันแพง ไม่ว่าเราจะมีความเชื่อทางการเมืองอย่างไร เอาประเทศชาติให้รอด ถ้าประยุทธ์ไม่หยุด ไบเดน ไม่หยุด คนไทยจะหยุดเอง” นายจตุพรกล่าว