ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 กันยายน 2560 |
---|---|
เผยแพร่ |
สหรัฐอเมริกา
ฟลอริดา – สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 กันยายน ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยราว 90,000 คน เริ่มเดินทางกลับมายังบ้านเรือนของตนเองในฟลอริดาคีย์ส และเมืองไมอามี รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกาแล้ว หลังจากพายุเฮอริเคนเออร์มา ที่มีความรุนแรงระดับ 4 ด้วยความเร็วลม 209 กิโลเมตร/ชั่วโมง พัดขึ้นฝั่งทางตะวันตกของรัฐฟลอริดาเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา สร้างความเสียหายให้แก่อาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ อย่างหนัก บ้านเรือนประชาชนเกือบ 6.9 ล้านครัวเรือน ไม่มีไฟฟ้าใช้ และยังเป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 18 ราย ก่อนที่เฮอริเคนเออร์มาจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน จากที่ก่อนหน้านั้นได้พัดถล่มสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับประเทศในแถบทะเลแคริบเบียนมาก่อนแล้วและทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 40 ราย
ขณะที่มีการประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจของเฮอริเคนเออร์มา และพายุฮาร์วีย์ที่พัดถล่มรัฐเท็กซัสและลุยเซียนาของสหรัฐก่อนหน้านี้ว่ารวมกันอาจมีมูลค่าสูงถึง 290,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 1.5 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
สหประชาชาติ
สหประชาชาติ – สำนักข่าวบีบีซีและเอเอฟพีรายงานว่า เกาหลีเหนือขู่สหรัฐอเมริกาว่าจะเผชิญกับความเจ็บปวดครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมี ในการแสดงท่าทีตอบโต้สหรัฐที่เป็นหัวหอกนำในการผลักดันให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ลงมติเป็นเอกฉันท์ผ่านความเห็นชอบมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือชุดใหม่ที่มีขึ้นเป็นครั้งที่ 8 แล้ว เพื่อลงโทษที่เกาหลีเหนือยังไม่หยุดคุกคามเสถียรภาพและความมั่นคงของโลกจากการที่เมื่อเร็วๆ นี้เกาหลีเหนือได้ทำการทดสอบระเบิดไฮโดรเจนเมื่อต้นเดือนกันยายนนี้ที่นับเป็นการทดสอบนิวเคลียร์ที่มีขึ้นเป็นครั้งที่ 6 แล้ว
มาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือชุดใหม่ของยูเอ็นเอสซีพุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยห้ามการส่งออกสิ่งทอจากเกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้หลักจากการส่งออกสินค้าอันดับ 2 รองจากการส่งออกถ่านหินและแร่ธาตุอื่นๆ นอกจากนี้ ยังสั่งควบคุมปริมาณการส่งออกก๊าซธรรมชาติและก๊าซเหลวไปยังเกาหลีเหนือที่ 2 ล้านบาร์เรลต่อปี และจำกัดปริมาณการส่งออกน้ำมันไปยังเกาหลีเหนือให้อยู่ที่ระดับปัจจุบัน
ขณะที่ นายฮัน แท ซง ทูตเกาหลีเหนือประจำยูเอ็น กล่าวในที่ประชุมยูเอ็น โดยปฏิเสธมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือของยูเอ็นเอสซีที่เขาเรียกว่าเป็นมติที่มิชอบด้วยกฎหมาย และว่า มาตรการที่เกาหลีเหนือจะดำเนินการในเร็วๆ นี้ จะทำให้สหรัฐได้รับความเจ็บปวดครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
พม่า
ย่างกุ้ง – สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานถึงชะตากรรมของชาวโรฮิงญา ชนกลุ่มน้อยในพม่าว่า จำนวนผู้อพยพชาวโรฮิงญาที่หลบหนีภัยความรุนแรงจากการถูกกองกำลังทหารพม่าปราบปรามอย่างหนักเข้าไปยังประเทศบังกลาเทศมีแล้วมากกว่า 370,000 คน ท่ามกลางเสียงก่นประณามรัฐบาลพม่าภายใต้การนำของ นางออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ จากการที่ยังนิ่งเงียบต่อวิกฤตปัญหาที่เกิดขึ้น โดยล่าสุด นายซอ ฮเต โฆษกของนางซูจี แถลงว่านางซูจีได้ยกเลิกแผนการเดินทางจะไปเข้าร่วมการประชุมประจำปีสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่จะมีขึ้นที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 19-25 กันยายนนี้แล้ว แต่ไม่ได้ให้เหตุผลใดๆ ทว่า นายออง ชิน โฆษกอีกคนกล่าวว่า นางซูจีอาจมีเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องจัดการมากกว่า พร้อมย้ำว่า นางซูจีไม่เคยกลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์หรือการเผชิญกับปัญหาใดๆ
การยกเลิกแผนการไปร่วมประชุมดังกล่าวของนางซูจีมีขึ้นท่ามกลางการเผชิญแรงกดดันและเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนานาชาติของรัฐบาลนางซูจีต่อการจัดการกับวิกฤตความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญา ขณะที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) จะประชุมหารือแบบปิดถึงปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญาด้วย โดยก่อนหน้านี้ในการเข้ารายงานถึงสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญาของ นายไซอิด ราเอด อัล ฮุสเซน ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนยูเอ็นชี้ว่า การปราบปรามชาวโรฮิงญาของพม่าดูเหมือนเป็นการโจมตีที่เป็นระบบ
และเตือนว่า การล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญายังอาจกำลังดำเนินอยู่ต่อไป