“จาตุรนต์” ร่วมงานรำลึก 12 ปี 10 เมษา 53 ย้ำระบบที่ไม่ยุติธรรม ต้องเปลี่ยนแปลง!

วันที่ 10 เมษายน 2565 เมื่อเวลา 14.00 น. ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและสมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ร่วมงานรำลึกเหตุการณ์สลายผู้ชุมนุมนปช.เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ซึ่งเป็นการสลายการชุมนุมด้วยกำลังทหารครั้งแรกของการชุมนุมเวลานั้น ก่อนจะมีการสลายการชุมนุมด้วยอาวุธสงครามอีกหลายยครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคม ปีเดียวกัน โดยในงานรำลึกยังมีสมาชิกคนสำคัญของทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ และพรรคก้าวไกล รวมถึงกลุ่มการเมืองจากช่วงปี 53 และช่วงการเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวในปี 63-64 มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง

จาตุรนต์ ได้กล่าวในฐานะผู้ที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ในเวทีแยกผ่านฟ้าตอนนั้นว่า  ผมเป็นคนหนึ่งที่ร่วมในเหตุการณ์ชุมนุม 10 เมษายน เมื่อ 12 ปีก่อนและได้รับรู้เหตุการณ์ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ที่มีความหมายและทำให้ผมเห็นว่าเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายนนอกจากเป็นเรื่องของการทวงคืนความยุติธรรมแล้ว มันมีความหมายต่อสังคมไทยและการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประเทศไทย ที่ทุกคนในประเทศจะต้องรับรู้และตระหนักว่าปัญหานี้เป็นเรื่องใหญ่ที่เราจะต้องร่วมกันแก้ไข

เมื่อประมาณ 5 โมงกว่าในวันที่ 10 เมษายน แดดร่มลมตก บรรยากาศการชุมนุมไม่ได้มีแค่เสียงไมโครโฟนหรือเสียงรถยนต์ แต่มีเสียงประทัด มีเสียงปืน มีเสียงเฮลิคอปเตอร์ บินวนไปมา มีเสียงการยิงแก๊สน้ำตา

ผมมาจากบ้านตั้งใจมาที่เวทีชุมนุม เพราะมีการออกข่าวว่ารัฐบาลจะทวงคืนพื้นที่ มีรถฮัมเมอร์ รถทหารเรียงอยู่ทั่วบริเวณชุมนุมหลายคัน พร้อมทหารมีอาวุธ เวลา 5 โมงกว่าก็หมายความว่าอีกไม่ถึงชั่วโมงจะมืด และผมจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็รู้ว่าถ้ามืดแล้วไม่มีทางที่รัฐบาลจะคุมสถานการณ์ได้ มีความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นผมจึงตั้งใจมาเพื่อที่จะสื่อสารกับรัฐบาลในขณะนั้น

พอมาถึงเวทีชุมนุม ทีมงานก็รีบเชิญผมขึ้นบนเวที บอกว่าให้ขึ้นไปพูดหน่อย เพราะว่าตอนนี้พี่น้องประชาชนที่นั่งอยู่กำลังระส่ำระสาย หนีไปตรงนู้นบ้าง วิ่งไปตรงนี้บ้าง วิ่งกลับมาบ้าง ให้ผมช่วยขึ้นไปพูดหน่อย เพื่อจะบอกให้พี่น้องเข้ามารวมตัวกันและนั่งอย่างสงบ เพราะอันนั้นจะเป็นวิธีที่ทำให้เราปลอดภัยมากที่สุด

เมื่อพี่น้องมารวมตัวกันแล้ว สิ่งที่ผมพูดกับนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นผมบอกว่าพี่น้องประชาชนที่นี่ไม่ต้องการใช้ความรุนแรง ไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงเลย ขณะที่ผมพูดไปนั้นเพลงชาติขึ้นก็แสดงว่า 6 โมง ผมก็บอกว่าอีกสักพักก็จะมืดแล้ว

รัฐบาลประกาศไม่กี่วันก่อนบอกว่าจะเอาพื้นที่ราชประสงค์คืน ส่วนที่ราชดำเนินจะชุมนุมกันยังไงก็ชุมนุมกันไป แล้ววันนี้ทำไมจะมายึดพื้นที่คืน มันไม่มีเหตุผล ทำไมต้องมายึด? ผู้ชุมนุมอยู่กับถนนชุมนุมอย่างสงบและก็ประกาศชัดเจนว่าไม่ต้องการใช้ความรุนแรง ขอให้สั่งให้หยุดการกระทำทวงคืนพื้นที่แล้วมาเจรจากัน ถ้าจะเอาพื้นที่คืนวันพรุ่งนี้ค่อยมาเจรจากันก็ได้ แกนนำการชุมนุมเขาก็พร้อมที่จะเจรจาด้วย

ผมพูดอยู่พักใหญ่เพื่อสื่อสารเต็มที่แล้ว “ถ้าไม่รีบหยุดการกระชับพื้นที่เดี๋ยวจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น พวกคุณจะเสียใจพวกคุณจะต้องรับผิดชอบ” แต่ในที่สุดผมพูดไปจนกระทั่งได้ใจความหมดแล้ว กำลังรอฟังให้กำลังใจผู้พูดคนอื่น ก็ถูกแก๊สน้ำตาต้องลงจากเวทีไปล้างตา ระหว่างนั้นก็มีการประสานติดต่อมาจากทางรัฐบาล แต่ว่าการประสานมานั้นเกิดขึ้นหลังจากการที่มีจะยิงระเบิดใส่ประชาชนและข้าราชการเกิดขึ้นไป 20 กว่าคนแล้ว

มันเกิดขึ้นอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ แต่ไม่ใช่เพราะผมรู้ว่ามีใครจะทำอะไร แต่มันชัดอยู่แล้วว่าการมีรถทหาร และมีทหารมีอาวุธมาอยู่ในพื้นที่ชุมนุม และมีเสียงปืนเป็นระยะสลับกับประทัด สถานการณ์แบบนี้มันเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ และความจริงขณะที่ผมพูด 6 โมงกว่ามีคนเอาหนังสือมาแจ้งบอกว่าขณะนี้มีพี่น้องประชาชนเสียชีวิตไปแล้ว ผมตัดสินใจไม่ประกาศเพราะเกรงว่าประกาศไปก็จะเกิดความแตกตื่นกลายเป็นความเสียหายมากขึ้นไปอีก

หลังจากนั้นผมเป็นตัวกลางให้เกิดการเจรจาระหว่างตัวแทนรัฐบาลที่อยู่กับนายกรัฐมนตรี กับณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เจรจากันอยู่หลายรอบจนในที่สุดเขาถามว่า “จะให้ทำอย่างไร ตอนนี้มีการเสียชีวิตไปแล้ว ทำยังไงถึงจะสงบ”

ผมบอกว่าง่ายนิดเดียวคุณก็นำกำลังออกไปให้ห่างการชุมนุม แล้วเดี๋ยวการชุมนุมเขาก็จะสงบกันไปเอง ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ในที่สุดเขาก็ทำตามนั้น

ดังนั้นเรื่องนี้มันบอกว่า ถ้ารัฐบาลฟังข้อเสนอของประชาชนตั้งแต่ต้น ไม่ต้องกระชับไม่ต้องยึดคืนพื้นที่ เพราะมันไม่มีความจำเป็นอะไรเลย ถ้าเขาฟังจะไม่มีการเสียชีวิตแม้แต่คนเดียว และเรื่องนี้มันก็ทำให้เราเห็นว่าการที่ประชาชนเสียชีวิตบาดเจ็บในวันที่ 10 เมษายนเมื่อ 12 ปีก่อน เกิดขึ้นเนื่องจากการปล่อยปละละเลย หรืออาจจะต้องบอกว่ารู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดความรุนแรงเสียหายถึงชีวิต ก็ยังไม่ระงับยับยั้ง ความบกพร่องย่อมเกิดจากรัฐบาลในขณะนั้นอย่างไม่อาจปฏิเสธหลีกเลี่ยงได้

แต่ผ่านมา 12 ปีไม่มีใครรับโทษ ไม่มีการลงโทษ ไม่มีใครรับผิดชอบทางการเมืองต่อเรื่องนี้แม้แต่น้อย เรื่องนี้ถ้าผมพูดแค่นี้มันก็จบด้วยการบอกว่าต้องทวงคืนยุติธรรม ต้องให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย มันอาจจะเป็นสูตรตายตัวไปหมดแล้ว แต่ผมอยากจะชวนพี่น้องผู้รักประชาธิปไตย ที่อยากเห็นบ้านเมืองสงบบ้านเมืองเจริญก้าวหน้าทั่วประเทศมาช่วยกันคิด..

เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายนเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ของการเคลื่อนไหวเดือนมีนาคม-พฤษภาคม มันต่อเนื่องมาจากปี 2562 เหตุการณ์พี่น้องเสื้อแดงและประชาชนอีกเป็นแสนแสนคนต่อสู้นั้น เขาต่อสู้คัดค้านอะไร?และเสนออะไร?

เขาคัดค้านการที่องค์กรอิสระ ศาลที่มายึดโยงกับประชาชนมาล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ล้มนายกรัฐมนตรีไป 2 คน เข้ามาแทรกแซงการเมืองด้วยการข่มขู่พรรคการเมืองและไปจัดตั้งรัฐบาลกันในค่ายทหาร เขามาร่วมกันคัดค้านบอกว่าการทำอย่างนี้เป็นการล้มเจตนารมณ์ของประชาชนในการเลือกตั้ง เขาไม่ได้บอกว่าจะใช้กำลังความรุนแรงไปล้มรัฐบาล ไม่ได้บอกว่าจะไปยึดสถานที่ราชการอะไรที่ไหน เข้ามาเสนอบอกว่าให้ยุบสภาและมีการเลือกตั้ง ให้ประชาชนทั่วประเทศพิสูจน์ตัดสินว่าจะให้ใครเป็นรัฐบาลกันแน่

แต่สิ่งที่เขามาเสนอนี้ เขากลับต้องเจอกับการบังคับใช้กฎหมายที่เลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นมาตรฐาน เจอกับการที่ปล่อยให้มีการกระทำความผิดของรัฐของผู้มีอำนาจรัฐและเจ้าหน้าที่ และถูกฆ่าพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมาต่อไปอีกรวมกันแล้ว 99 ชีวิต โดยที่ไม่มีใครต้องรับผิดชอบแม้แต่รายเดียว

ก็หมายความว่าเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดการทำผิดกฎหมายได้ของฝ่ายรัฐ โดยไม่ต้องรับผิดใดๆทั้งสิ้น

แต่ขณะเดียวกันกลับมีการบังคับใช้กฎหมายแบบที่คนกระทำผิดไม่ถูกลงโทษ แต่มันกลับข้างกัน ก็คือเวลาใดที่มีคนมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งมีมา 2 รอบแล้ว การชุมนุมต่อต้านนั้นสามารถกระทำการผิดกฎหมายได้อย่างไม่จำกัด และไม่มีการลงโทษเลย พวกเขาจะยึดทำเนียบรัฐบาลจนปลูกข้าวได้-ก็ทำได้, ยึดสนามบินจนคนเดินทางไปไหนไม่ได้-ก็ทำได้, ยึดกระทรวงมหาดไทยเป็นเดือน-ก็ทำได้, ทั้งหมดไม่มีความผิด

การชุมนุมแบบนี้ที่ผิดกฎหมาย แต่ตำรวจไปจับกุมไม่ได้ เพราะตำรวจเมื่อเข้าไปจับกุม หน่วยการ์ดก้แสดงบัตรว่าเป็นทหาร การ์ดของผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นทหาร รัฐบาลขณะนั้นออกพรก.ฉุกเฉินมีคำสั่งมา 10 คำสั่ง ศาลแพ่งซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยกบับออกคำวินิจฉัยมาว่าคำสั่งทั้งหมดใช้ไม่ได้ไม่เป็นไปตามกฎหมาย

มันเกิดสลับกันอยู่อย่างนี้ เพื่อที่จะบอกว่า “ประเทศนี้อยู่เป็นสุขไม่ได้ สงบไม่ได้ถ้าไม่ปกครองโดยรัฐบาลที่อยู่ภายใต้การกำกับควบคุมบงการของกองทัพและองค์กรอิสระที่ไม่ได้มาจากประชาชน” เมื่อเป็นอย่างนั้นก็เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจของพวกเผด็จการผู้นำกองทัพ ว่าต้องให้พวกผู้นำกองทัพเข้ามาปกครองบ้านเมืองจึงจะสงบ จึงจัดให้มีการชุมนุมผิดกฎหมายกันอีกเพราะจะใช้กฎอัยการศึกใช้คำสั่ง คสช. ระบบแบบนี้เป็นระบบที่นำไปสู่การปกครองและกติกาอย่างปัจจุบันนี้ คือประชาชนไม่มีอำนาจ ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียง

วันนี้เรามารำลึกวีรชน 10 เมษายน วีรชนเดือนพฤษภาคม เพื่อที่จะทวงคืนความยุติธรรมให้แก่พวกเขา แต่ผมคิดว่าถ้าจะให้มีคุณค่ามีความหมาย ต้องมานึกถึงเจตนารมณ์ของพวกเขา

เจตนารมณ์ของพวกเขาต้องการให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย ให้การเลือกตั้งมีความหมาย ไม่ใช่เลือกตั้งมาแล้วองค์กรอะไรก็ไม่รู้ใช้คนชุมนุมเดินขบวนเสร็จ องค์กรนี้ก็ล้มรัฐบาล ล้มไม่ได้ก็ทำต่อกันไปจนยึดอำนาจ แบบนี้มันไม่ใช่ประชาธิปไตย

แต่ถ้าพรุ่งนี้มีการเลือกตั้ง การเลือกตั้งนั้นจะมีความหมายแบบที่พี่น้องเสื้อแดง และประชาชนเมษา-พฤษภาปี 53 เรียกร้องหรือไม่?

“ไม่มีความหมายครับ เพราะขณะนี้การเลือกตั้งของประเทศไทยมันเป็นการเลือกตั้งโกหกจอมปลอม มันผิดกติกา คนคนเดียวเลือกคนมาได้ 250 คน เท่ากับเสียงของคน 19 ล้านคน แต่งตั้งคน 250 คนแล้วมาเลือกตัวเขาเองเป็นนายกฯ”

เพราะฉะนั้นพี่น้องที่เคารพ เรามารำลึกถึงวีรชนเรามาแสดงถึงความเสียใจอาลัยให้กำลังใจญาติวีรชนเดือนเมษายน-พฤษภาคม เรามาบอกว่าความยุติธรรมยังไม่เคยเกิดขึ้น และเรามาบอกว่าระบบที่การบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่ยุติธรรมยังคงอยู่ ระบบที่พร้อมจะทำลายเจตนารมณ์ของประชาชนในการเลือกตั้งก็ยังอยู่ ระบบที่ประชาชนไม่มีสิทธิ์มีเสียงลุกขึ้นมาเรียกร้องเสรีภาพเมื่อไหร่ ก็ถูกปราบถูกทำร้าย โดยผู้ที่ปราบผู้ที่ทำร้ายก็ยังคงลอยนวลอยู่ได้ ไม่มีการถูกดำเนินคดีตามกฎหมายก็ยังอยู่ เรามาบอกว่าระบบเหล่านี้จะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลง ต้องยกเลิกไป

“บ้านเมืองนี้จะต้องเป็นประชาธิปไตย ไม่ให้วีรชนเดือนเมษายน-พฤษภาคม สูญเสียชีวิตไปเปล่าๆ จะต้องมาช่วยกันทำให้ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย ต้องทำให้รัฐธรรมนูญเป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน ให้ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง”