ชัดไร้มาตรการช่วย! ‘สุพัฒนพงษ์’ แนะ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

รมว.พลังงาน แนะ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” กระทรวงพลังงาน ไร้มาตรการช่วยเหลือราคาพลังงานเพิ่มเติม โยนทยอยปรับขึ้นทั้งระบบจนกว่าเงินจะหมด เล็งสำรองน้ำมันรับมือสงครามรัสเซีย-ยูเครน ดันราคาขายปลีกในประเทศเพิ่ม 60 สตางค์/ลิตร

 

วันที่ 11 มี.ค.2565 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า เบื้องต้นรัฐจะปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ภาคครัวเรือน 15 บาท/ถังขนาด 15 กิโลกรัม(กก.) หรือขึ้นกก.ละ 1 บาท มาอยู่ที่ 333 บาท/ถัง 15 กก. จากปัจจุบันอยู่ที่ 318 บาท/ถัง 15 กก. และยังคงช่วยเหลือกลุ่มเปราะผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.5 ล้านคน ที่ 45 บาท/ถัง 15 กก./3 เดือน และยังคงตรึงราคาขายปลีกดีเซลในประเทศไไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตรต่อไป จนกว่าเงินจะหมด

” ซึ่งถ้าถามว่าถ้าเงิน 40,000 ล้านบาทหมด แล้วจะทำอย่างไรต่อ ก็ต้องรอ ระหว่างนี้ต้องประหยัด และอยู่ในสภาพนี้ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” รัฐบาลจะพยายามตรึงภายใต้กรอบวงเงินที่มีอยู่ ถ้าทุกคนประหยัดก็ตรึงได้นาน ถ้าราคาลดลงปกติ ยิ่งตรึงได้นานขึ้นอีก ”

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลมีความชัดเจนที่จะตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร และขยายเวลาอุดหนุนราคาก๊าซหุงต้มอยู่ที่ 318 บาท/ถัง 15 กก. ที่จะสิ้นสุด 31 มี.ค.นี้ออกไปหรือไม่

น้ำมัน

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ไม่ชัดเจน เพราะสถานการณ์แกว่งขนาดนี้ เราจะทำยังไงได้ แต่ระหว่างนี้เรามีวงเงิน 40,000 ล้านบาท ที่ใช้ดูแลสถานการณ์ชั่วคราวกันไป ทั้งยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ถ้าราคาน้ำมันดิบลงก็ไม่จำเป็น แต่ถ้าราคาสูงขึ้น 170 เหรียญสหร้ฐ/บาร์เรล ก็ต้องมีมาตรการอื่นดูแล เป็นธรรมชาติในเหตุการณ์ที่ผันผวน จะเอาคำตอบเป๊ะ กลับบ้านไปนอนหลับสบาย ผมคิดว่าไม่ได้เป็นลักษณะบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความผันผวน สื่อมวลชนต้องทำความเข้าใจ

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์ฯ หรือสศช.) ศึกษาแนวทางรับมือวิกฤตราคาพลังงาน หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครนยืดเยื้อรุนแรงเกินกว่าที่คาดไว้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นสูงขึ้นผันผวนรุนแรงต่อเนื่อง

ค่าไฟ

ด้านนายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. กล่าวว่า ยอมรับว่ามีความจำเป็นที่ต้องมีการปรับอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที) งวดเดือนพ.ค.-ส.ค.2565 ขึ้นตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้นเกินกว่าสมมติฐานที่ประมาณการราคาน้ำมันดิบไว้ไม่เกิน 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้ค่าเอฟทีที่สะท้อนต้นทุนจริงเพิ่มขึ้นไปเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันได 16.71 สตางค์/หน่วย

” อย่างไรก็ตาม กกพ. จะพยายามบริหารจัดหาเชื้อเพลิงอื่นที่มีต้นทุนถูกกว่าก๊าซมาผลิตไฟฟ้า เพื่อประคองค่าเอฟทีให้ปรับขึ้นไม่เกินกรอบที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด ”

ขณะที่ น.ส.นันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ระบุ กรมได้มีการประสานไปยังโรงกลั่นทุกแห่ง ยืนยันมีแผนบริหารจัดหาปริมาณก๊าซธรรรมชาติเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ 66 วัน หรือประมาณ 2 เดือน แบ่งเป็นปริมาณน้ำม้นดิบสำรอง 5,686.44 ล้านลิตร และปริมาณน้ำมันสำเร็จรูป 1,703.61 ล้านลิตร รวมกับปริมาณนำเข้าน้ำมันของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) 636 ล้านลิตร ขณะที่ปัจจุบันไทยมีความต้องการใช้น้ำมันดิบเฉลี่ย 123.25 ล้านบาร์เรล/วัน ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ย 119.88 ล้านลิตร/วัน

“กรมได้เตรียมมาตรการรองรับวิกฤตพลังงาน โดยได้ประสานผู้ค้าน้ำมัน เพื่อเตรียมประกาศเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย ให้ปริมาณน้ำมันดิบสำรองเพิ่มเป็น 5% จากเดิม 4% และน้ำมันสำเร็จรูปสำรองเพิ่มเป็น 2% จาก 1% ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นจากผู้ค้าน้ำมัน คาดว่าจะมีข้อสรุปภายใน 1 สัปดาห์ โดยยอมรับว่าการเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันทุก 1% ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศเพิ่มขึ้น 60 สตางค์/ลิตร”

ประชุม

ส่วนนายวิศักดิ์ วัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เปิดเผยว่า ปัจจุบันกองทุนมีสถานะติดลบประมาณ 23,000 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะมีเงินกู้ 30,000 ล้านบาท เข้ามาช่วงเดือนพ.ค.2565 ซึ่งระหว่างนี้กองทุนยังมีกระแสเงินสดสามารถใช้ดูแลราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศได้ประมาณ 20,000 ล้านบาท ถึงช่วงเดือนพ.ค.2565 ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบ 115 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่มีเงินไหลเข้ากองทุน 2,700-3,000 ล้านบาท/เดือน แต่มีเงินไหลออกประมาณ 30,000 ล้านบาท/เดือน