วันที่ 9 มีนาคม 2565 รอยเตอร์สรายงานว่า หลังรัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนอย่างหนักและกลายเป็นการสู้รบยืดเยื้อจนทำให้เกิดผู้ลี้ภัยและผู้เสียชีวิตชาวยูเครนจากการสู้รบจำนวนมาก หลายประเทศรวมถึงหลายบริษัทต่างร่วมคว่ำบาตรสามัคคีต่อรัสเซียเพื่อเป็นการลงโทษด้วยมุ่งเน้นในเรื่องเศรษฐกิจ หลายบริษัทที่มีสาขาอยู่ในรัสเซียก็ต่างพากันระงับการให้บริการเพื่อประท้วงการทำสงครามของรัสเซีย ล่าสุด ยักษ์ใหญ่ฟู้ดแฟรนไชน์อย่างแมคโดนัลด์และสตาร์บัคส์ รวมถึงบริษัทเครื่องดื่มชื่อดังอย่างโคคา-โคล่าและเป็ปซี่โค ก็ได้หยุดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในรัสเซียแล้ว เพื่อร่วมแสดงพลังคัดค้านการทำสงคราม

แมคโดนัลด์ กล่าวว่า บริษัทจะทำให้จ่ายเงินให้กับพนักงานของบริษัทกว่า 62,000 คนในรัสเซียซึ่งทำงานอยู่ในร้านอาหาร 847 สาขาทั่วรัสเซีย

เจฟฟรีย์ ซอนเนนเฟลด์ ศาสตราจารย์ด้านการจัดการของมหาวิทยาลัยเยลที่ติดตามจุดยืนต่อรัสเซียของบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่พวกเขาเลือกเดินและตัดสินใจอย่างถูกต้อง นี่จะเป็นผลกระทบใหญ่ที่สำคัญ และจะเป็นสัญลักษณ์พร้อมกับความยั่งยืน

ส่วนอีกแฟรนไชน์กาแฟชื่อดังอย่างสตาร์บัคส์ ก็ได้ทำการปิดร้านกาแฟกว่าร้อยสาขาลงชั่วคราว เช่นเดียวกับเป็ปซี่โค ได้ระงับทุกการโฆษณาหยุดการจำหน่ายเครื่องดื่มของบริษัทในรัสเซียทั้งหมด ขณะที่ยังคงขายสินค้าสำคัญอย่างนมและอาหารเด็ก และฝั่งคู่แข่งอย่างโคคา-โคล่า กล่าวว่า บริษัทจะระงับการทำธุรกิจในรัสเซีย

ก่อนหน้านี้ มีธุรกิจและบริษัทหลายแบรนด์ พากันเทรัสเซียท่ามกลางการคว่ำบาตรชุดใหญ่จากชาติตะวันตกทั้งเศรษฐกิจและการเงิน ตั้งแต่ รถยนต์หรู จนถึงบริษัทพลังงานต่างชาติ หรือแพลตฟอร์มดิจิตัลอย่างอเมซอน ยูนิเวอร์ซัล มิวสิค ดิสนีย์ เน็ตฟลิกซ์ ติ๊กต๊อก

สำหรับแม็คโดนัลด์ ก่อนที่จะตัดสินใจร่วมแบนนั้นก็เจอแรงกดดันอย่างหนักท่ามกลางหลายบริษัทพากันคว่ำบาตรรัสเซีย แต่แม็คโดนัลด์ในตอนแรกกล่าวว่าจะยังคงเปิดให้บริการ ส่วนยูนิโคล ค้าปลีกด้านแฟชั่นสัญชาติญี่ปุ่นยังคงวางตัวให้บริการในรัสเซียต่อ

ทั้งนี้ แม็คโดนัลด์และเป็ปซี่ ถือเป็น บริษัทต่างชาติกลุ่มแรกที่เข้ามาลงทุนและร่วมงานในรัสเซียช่วงยุคสุดท้ายของสหภาพโซเวียต เป็นภาพแทนของพลังทุนนิยมที่เข้ามาสู่ประเทศคอมมิวนิสต์หลังจากนโยบายเปิดกว้างของมิคาเอล กอร์บาชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียตคนสุดท้าย จนกระทั่งสหภาพโซเวียตล่มสลายและกลายเป็นรัสเซียในปัจจุบัน