เก็บตกปราศรัยใหญ่ทิ้งทวนก่อนวันเลือกตั้งซ่อม จตุจักร-หลักสี่ ทุกพรรคทุ่มสุดตัว

วันที่ 29 มกราคม 2565 เหลือเพียงวันพรุ่งนี้จะเข้าสู่วันเข้าคูหาของชาวหลักสี่-จตุจักร ในการเลือกตั้งซ่อมส.ส. เมื่อวานนี้ (28 มกราคม 2565) หลายพรรคขนบรรดาส.ส.-นักการเมือง มาร่วมการปราศรัยใหญ่ส่งท้ายก่อนถึงวันพรุ่งนี้อย่างเต็มกำลัง

ก้าวไกล ย้ำจุดยืน ปฏิรูปกองทัพเพื่อแก้ปากท้องปชช. หนุน “เพชร กรุณพล” เป็นส.ส.

เริ่มจากก้าวไกล ที่ตลาดนัดเจเจกรีน 2 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ พรรคก้าวไกล นำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค, ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค พร้อมด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค ได้แก่ วรรณวิภา ไม้สน, ปดิพัทธ์ สันติภาดา, รังสิมันต์ โรม, พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ร่วมเปิดเวทีปราศรัยรณรงค์หาเสียงให้กับ เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ ผู้สมัครรับเลือกเขตจตุจักร-หลักสี่ เบอร์ 6 โดยก่อนหน้านี้ในพื้นที่ดังกล่าวมีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่เมื่อฝนหยุดประชาชนก็เริ่มทยอยมาจนเนืองแน่นเต็มเวทีการปราศรัย บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนานคึกครื้น

พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การเลือกผู้แทนของชาวหลักสี่-จตุจักร แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ คือการบอกว่าประชาชนต้องการพรรคการเมืองที่มีนโยบาย อุดมการณ์ และความฝัน-ความเชื่อแบบไหนมาบริหารประเทศนี้ จากการที่ตนได้เดินหาเสียงมา ประชาชนพูดกันมากว่ากลัวฝั่งประชาธิปไตยจะไม่ชนะเพราะจะตัดคะแนนกันเอง แต่ตนขอย้ำอีกครั้ง ว่ารอบนี้อย่างไรฝั่งประชาธิปไตยก็ชนะ เพราะไม่มีใครเอารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์แล้ว

การเลือกตั้งครั้งนี้เปรียบเสมือนการเลือกตั้งใหญ่ คือการปักธงทางความคิด เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่พรรคก้าวไกลต่อสู้มาตลอดคือสิ่งที่ประชาชนต้องการ คือผู้แทนแบบพรรคก้าวไกล ที่อยู่กับประชาชนที่ถูกกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ ไม่ใช่ผู้แทนของนายทุนและศักดินา กล้าสู้กับผู้มีอำนาจอิทธิพล แม้ว่าจะต้องโดนคดีและการใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลตั้งแต่สมัยที่เป็นพรรคอนาคตใหม่ เป็นพรรคการเมืองแรกที่เสนอนโยบายปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร เปลี่ยนงบซื้ออาวุธเป็นสวัสดิการประชาชน และยังคงยืนยันในนโยบายนี้ แม้หลายคนจะบอกว่าควรเน้นเรื่องปัญหาปากท้องก่อน

แต่พรรคก้าวไกลยืนยันว่าการปฏิรูปกองทัพ คือ หนึ่งในแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นเรื่องเดียวกันกับการแก้ปัญหาปากท้อง ด้วย เหตุผลประการแรก เพราะถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะมีการปฏิรูปกองทัพเพื่อนำไปสู่การมีรัฐบาลพลเรือนที่อยู่เหนือกองทัพอย่างแท้จริง เพื่อหยุดวงจรอุบาทว์ของการทำรัฐประหารและการสืบทอดอำนาจ ที่เป็นต้นตอของปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน ประการที่สอง หากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เราจะยกเลิกระบบเกณฑ์ทหาร คืนเวลาให้กับเยาวชนคนหนุ่ม ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังที่จะวิ่งไล่ตามความฝัน มาเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติ
“ประการที่สาม พรรคก้าวไกลจะลดกำลังพลและจำนวนนายพล นำมาเพิ่มสวัสดิการให้กับประชาชนแทน กระทรวงกลาโหมที่มีงบประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อปี กว่าครึ่งหมดไปกับเงินเดือน ค่าตอบแทนต่าง ๆ ของกำลังพล

หากลดงบบุคลากรส่วนนี้ลงได้ 15% ประเทศได้งบคืนมา 15,000 ล้านบาท เราจะมีงบประมาณไปใช้เป็นสวัสดิการประชาชนได้มากขึ้น, ประการที่สี่ ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล พฤติกรรมทุจริต คอร์รัปชั่น กินกันตั้งแต่กางเกงในยันเรือดำน้ำต้องหมดไป จะประหยัดงบประมาณกองทัพได้อีกไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท คือม็ดเงินที่จะโยกย้ายจากกระเป๋าของนายทหารไม่กี่คน ไปสู่กระเป๋าของประชาชนทั้งประเทศ,

ประการที่ห้า การจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่จำเป็นอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งอาวุธ เรือดำน้ำ โดรน เครื่องบินรบ F-35 ขณะที่งบประมาณด้านสวัสดิการของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นงบบัตรทอง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ต่างถูกตัดลดลง จะไม่เกิดขึ้นในรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เราจะประหยัดในสิ่งที่ควร ลงทุนในสิ่งที่ขาดอย่างฉลาดเพื่ออนาคต และเพื่อเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และประการสุดท้าย พรรคก้าวไกลจะซื้ออาวุธอย่างฉลาด ด้วยการสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ไม่ใช่เพียงได้รถถังหรือเรือดำน้ำที่มีวันล้าสมัย แต่ต้องให้ได้ทั้งของและองค์ความรู้ เทคโนโลยีที่จะเอาไปต่อยอด ให้เกิดเม็ดเงินลงทุนในประเทศ เกิดการจ้างงาน เกิด supply chain ในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในไทยด้วย

พิจารณ์ กล่าวอีกว่า การปฏิรูปกองทัพ ก็คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลยืนยันว่าทำได้แน่หากได้เป็นรัฐบาล ที่ผ่านมารัฐบาลที่มีเสียงในสภาแบบเบ็ดเสร็จไม่ทำไม่ใช่เพราะทำไม่ได้ แต่เพราะเขาไม่มีเจตจำนงที่จะทำ สวัสดิการของประชาชนไม่ได้มีเงินทอนมากเท่ากับการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ตนยันว่านโยบายปฏิรูปกองทัพจะสำเร็จได้ต้องอาศัยนักการเมือง และพรรคการเมืองที่เห็นประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ที่ไม่ยี่หระกับผลประโยชน์ที่กองอยู่ตรงหน้า นักการเมืองที่มีประสบการณ์ทางการเมืองอย่างโชกโชน ทำพื้นที่มาอย่างต่อเนื่องเสนอตัวมาเป็นผู้แทน ตนว่าดี ไม่มีใครเถียง แต่ดีไม่พอถ้าอยากปฏิรูปกองทัพ

ตนขอให้ความมั่นใจกับประชาชนชาวหลักสี่-จตุจักร ว่าเพชร กรุณพล จะเป็น ส.ส.ที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว พร้อมปฏิเสธลาภ ยศ สินบนกองผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะมาล่อลวงเขา เพราะเขาคือหนึ่งในผู้สมัครที่เราคัดสรรมาแล้ว ดังนั้น ขอสื่อสารตรงไปที่นายทหารทุกคนในประเทศนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนที่กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนเตรียมทหาร และโรงเรียนนายร้อย ที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำกรมกองต่าง ๆ หากพรรคก้าวได้ไกลเป็นรัฐบาล เราจะคืนศักดิ์ศรีให้กับกองทัพ ทำให้กองทัพไทยเป็นกองทัพที่เข้มแข็ง ทันสมัย มีสวัสดิภาพที่ดีกว่านี้

“สภาพของกองทัพในเวลานี้ ไม่ต่างอะไรกับสังคมไทย คือรวยกระจุกแต่จนกระจาย ทหารยศนายพลที่รับราชการมาทั้งชีวิตมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ในขณะที่นายทหารชั้นผู้น้อยต่างต้องอยู่ในสภาพ ‘เงินหมดแต่ยศยังอยู่’ ถูกเอารัดเอาเปรียบ กดขี่จากผู้บังคับบัญชา ดังนั้น หากถ้าอยากให้นโยบายทั้งหมดนี้เป็นจริงได้ ทั้งการปฏิรูปกองทัพ และการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน เราต้องเริ่มตั้งแต่วันที่ 30 มกราคมนี้ ร่วมขีดเขียนอนาคตไปด้วยกัน ด้วยการกาเบอร์ 6 เลือก เพชร กรุณพล” พิจารณ์ กล่าว

“ชัยธวัช” ไม่หวั่นพร้อมชนถ้าเจอรัฐประหาร – “พิธา” ปลุกประชาชนเลือกด้วยความหวังไม่ใช่ความกลัว

ด้านชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขณะนี้ไม่ใช่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งซ่อมเท่านั้น แต่จะเป็นโค้งสุดท้ายของรัฐบาล คสช. ที่ไปต่อไม่ได้อีกแล้ว เนื่องจากผลงานบริหารที่ผ่านมาล้มเหลวจนข้าวของแพงทั้งแผ่นดิน บริหารจนเป็นหนี้เป็นสิบสิบล้านแล้วปล่อยให้ประชาชนต้องชดใช้ไปชั่วลูกชั่วหลาน เท่านั้นไม่พอ ยังสวาปามมูมมามจนไม่ว่าจะสำรวจดัชนีชี้วัดคอร์รัปชันสำนักไหน ก็ตกต่ำลงทุกปีและตกต่ำที่สุดในปีนี้จนชาวบ้านเอือมระอา แต่ถึงประชาชนเดือดร้อนกันถ้วนหน้า

พวกเขาก็ยังคงเล่นเกมการเมือง แตกแบงค์ร้อย แบงค์ยี่สิบ เพื่อแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรีกัน สภาพตอนนี้ปั่นป่วนไปหมดจนหัวคะแนนยังเดินหนี ในสภา แกนนำ ส.ส.รัฐบาลวิ่งกันขาขวิด พยายามถามพรรคร่วมฝ่ายค้านว่าใครอยากย้ายข้างไปต่ออายุรัฐบาลบ้าง ดังนั้น ถ้าใครไม่ต้องการต่ออายุรัฐบาลนี้อีก วันที่ 30 มกราคม ตัดสินใจให้เด็ดขาด เลือก เพชร กรุณพล พรรคก้าวไกล เข้าไปตอกฝาโลงรัฐบาล คสช. แต่

อย่างไรก็ตาม หลังการเลือกตั้งซ่อมยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พล.ประยุทธ์ จะยอมปรับ ครม. ตั้งพ่อค้าแป้งเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ แต่ก็ยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ถ้าไม่ยอมแต่งตั้งก็กลัวพรรคแบงค์ยี่สิบจะยกมือคว่ำในสภา การเมืองแบบนี้ไม่เห็นหัวประชาชน เราจึงต้องออกมาส่งเสียงเพื่อบอกว่าเราไม่ยอมรับการเล่นการเมืองแบบนี้อีกแล้ว

“มีบางกระแสบอกว่า แม้แต่ผู้มีอำนาจบางฝ่ายก็รู้สึกเบื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อยากเปลี่ยนนายกฯ เพราะใช้งานไม่ได้แล้ว จะบีบให้ลาออกแล้วหาคนใหม่ จับขั้วใหม่ อย่างน้อยก็เพื่อมางาบงบประมาณประจำปีก้อนใหม่ก่อนเลือกตั้ง อาจเป็นนายกคนนอกหน้าตาดี หรืออาจชื่อประวิตร พรรคก้าวไกลขอยืนยันตรงนี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนจากตู่เป็นป้อม เปลี่ยนอนุพงษ์เป็นแป้ง พรรคก้าวไกลไม่เอาด้วยทั้งนั้น ต้องยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนอย่างเดียว นายกฯ แก้ขัดไม่เอา และในฐานะเลขาธิการพรรคก้าวไกล ขอสัญญาว่า เราจะไม่จับมือกับพรรคการเมืองตระกูล คสช.ทุกชนิด ไม่ว่าจะสายตู่ สายป้อม หรือสายแป้ง พรรคก้าวไกล จะไม่จูบปากใดๆ ทั้งสิ้น จะซื่อสัตย์กับพี่น้องประชาชนให้ถึงที่สุด จะไม่ยอมให้ คสช. ลงจากหลังเสือแบบสบายๆ” ชัยธวัช กล่าว

 

ชัยธวัช กล่าวด้วยว่า ช่วงหลังเริ่มมีกระแสข่าวหวาดเสียว บางคนบอก พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่ยอมยุบสภาง่ายๆ เพราะถ้ายุบ เลือกตั้งก็แพ้ถล่มทลาย จึงแว่วมาว่า อาจจะมีการลากรถถังมาแสดงพลังอีกครั้ง แต่ถ้ากลุ่มไหนลากรถถังมาฉีกรัฐธรรมนูญอีก ยืนยันว่า หัวหน้าพรรค เลขาธิการ และ ส.ส.พรรคก้าวไกล จะไม่หนีไปไหน จะยืนอยู่กับประชาชน จะสู้กับมันจนชัยชนะจะเป็นของประชาชน

ถ้าฉีกรัฐธรรมนูญด้วยรถถังอีก ผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกลจะจับมือกับประชาชนเพื่อเขียนรัฐธรรมนูญเองแล้วประกาศใช้ หากต้องการพรรคแบบนี้ ต้องการผู้แทนราษฎรที่ยืนยันว่า อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เราจะยึดอำนาจจากมันกลับมาแล้วคืนกลับให้เป็นของประชาชน อย่าเลือกด้วยความกลัว ไม่ต้องกลัวว่าพรรครัฐบาลจะกลับมาอีก ตนเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ประชาชนตาสว่างกันหมดและทนการบริหารของรัฐชุดนี้ไม่ได้แล้ว เราถูกหลอกให้เชื่องและปกครองด้วยความกลัวนานไปแล้ว ถึงเวลา เข้าคูหาแล้วถามหัวใจตัวเองว่าต้องการอนาคตแบบไหนแล้วลงคะแนน ถ้าต้องการการเมืองที่ซื่อตรง ตรงไปตรงมาต่อประชาชน เลือก เพชร กรุณพล เบอร์ 6 พรรคก้าวไกล

“ยืนยันอีกครั้งว่า เสียงของเราทุกคนมีความหมาย เป็นเสียงของความเปลี่ยนแปลง ขอให้ช่วยกันส่งเสียงว่า เราต้องการเดินไปสู่อนาคตแบบใหม่ หลายคนบอกว่าเราต้องชนะขาด ผมอยากบอกว่า ชัยชนะเด็ดขาดที่แท้จริงคือชัยชนะที่เป็นของประชาชน ไม่ใช่ชัยชนะที่ไปแบ่งปันอำนาจชั่วครู่ชั่วคราว นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมจึงต้องเลือกพรรคก้าวไกลเพื่อไปเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก ชัยชนะของประชาธิปไตยจะต้องยกระดับ ประชาชนต้องไม่ยอมให้การต่อสู้ที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อที่ผ่านมาถูกนำไปแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันหลังฉากอีกต่อไป เลือดเนื้อของประชาชนต้องมีความหมาย ขอให้เลือก เพชร กรุณพล เบอร์ 6 ให้ถล่มทลาย เลือกก้าวไกลเพื่อเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ของเราไปพร้อมๆกัน” ชัยธวัช กล่าว

ส่วนกรุณพล กล่าวว่า หลายสิบปีในอาชีพนักแสดง ตนเจอเรื่องราวมากมาย วันนี้เส้นทางชีวิตเปลี่ยนมาเป็นอาชีพนักการเมือง สิ่งที่อยากทำมีมากมายเหลือเกิน และคิดว่าการเป็นนักการเมืองน่าจะตอบโจทย์ ตนรู้ตัวดีว่าเป็นผู้สมัครพื้นที่นี้มีหลายอย่างถาโถมเข้ามาในชีวิต เหมือนครั้งที่แล้วขึ้นเวทีถึงขั้นน้ำตาไหล แต่วันนี้ได้รับกำลังใจจากหลายคน ทำให้เข้มแข็งมากขึ้น ในโซเชียลมีเดีย มีทั้งคำชื่นชม ด่า ประณาม เหล่านี้ก็เอามาเป็นพลัง

หรืออย่างล่าสุดคุณแม่ จิตรประภัสสร เทียนสุวรรณ ซึ่งเป็นคนเสื้อแดง ร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดง เชื่อแนวทางประชาธิปไตย ถามมาตลอดว่าอยากเป็นลูกนายพลหรือลูกแม่ค้า ถ้าอยากเป็นลูกแม้ค้าต้องเข้าใจคนปกติ แม่สอนเรื่องชีวิต ความเท่าเทียม การให้อภัย และการมีน้ำใจ แม่ต่อสู้ร่วมกับคนเสื้อแดงมาตลอด แต่กี่ปีก็ไม่ชนะ เพราะถูกกดทับด้วยปากกระบอกปืน ทุนผูกขาด และอำนาจมองไม่เห็น คนเสื้อแดงสูญเสียเลือดเนื้อชีวิตมากมาย กระทั่งวันนี้แม่อายุ 70 กว่าแล้ว ได้ส่งต่อการต่อสู้มาให้ ถามว่าถ้าสู้แบบเดิม โอกาสชนะยากเต็มที วันนี้มีพรรคการเมืองใหม่ที่ต่อสู้ในรัฐสภาที่เราน่าจะชนะได้ จนทำให้วันนี้ ตนได้เข้ามาอยู่ในพรรคก้าวไกล และอุดมการณ์ของเรามั่นคงแน่วแน่ ที่เราจะไม่ยอมทุนผูกขาด ไม่ยอมเผด็จการที่แย่งประชาธิปไตยไปจากพวกเรา

“ผมเปิดตัวต่อสู้กับความไม่ถูกต้องมาตั้งแต่เมื่อครั้งมีม็อบ กปปส. ผมยืนอยู่ตรงข้ามม็อบนี้มาตลอด แต่ก็ถูกโจมตีว่าเคยไปร่วมกับม็อบ จึงอยากบอกตรงนี้ว่า แม้แต่วินาทีเดียวก็ไม่เคย ไม่เคยเชื่อว่าการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งจะดีกว่าการเลือกตั้งอย่างไร จึงอยากเคลียร์ใจเรื่องนี้ ซึ่งที่ผ่านมา แม้จะโดนผู้จัดละคร โดนโฆษณากดดัน มีคนที่เคยเป่านกหวีโทร.มาหาว่าออกตัวแรงแบบนี้ไม่กลัวไม่มีงานเหรอ

ผมบอกไปว่า แล้วทนเห็นแบบนี้ได้อย่างไร จะยืนอยู่บนความสุขสบายโดยเห็นความไม่ถูกต้องอย่างนั้นเหรอ วันนี้ ถ้าเราไม่เริ่มที่ตัวเองจะเริ่มที่ไหน ถ้าเราไม่เสียสละเพื่อดึงคนให้ลุกขึ้นมา จะมีใครกล้ายืนสู้มั้ย ทุกคนไม่กล้ายืนสู้ ในวันที่ม็อบ กปปส. และวันที่ทหารครองอำนาจ ทุกคนกลัว จนทำให้คนที่รู้ถูกรู้ผิดไม่กล้าพูด ทำให้คนที่ผิดแต่เสียงดังกลายเป็นผู้ชนะ ผมยอมไม่ได้ ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยลุกขึ้นมา เสียงานเสียการ เสียหลายๆ อย่างในชีวิต แต่จะได้เป็นผู้จุดไฟแห่งความหวังให้คนได้ลุกขึ้นมา ยืนอยู่ตรงนี้ ทำเพื่อให้คนเห็นความหวังในประเทศนี้ และไม่ใช่เพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อพรรคก้าวไกล แต่เพื่ออนาคตลูกหลานของเรา ไม่อยากให้ประเทศนี้ย่อยยับไปต่อหน้า โดยที่เราไม่ทำอะไรเลย วันนี้เราต้องลุกขึ้นมาสู้” กรุณพล กล่าว

กรุณพล กล่าวอีกว่า ในฐานะผู้สมัครเขตจตุจักร-หลักสี่ โดนปรามาสว่าเป็นแค่นักแสดง เรียนจบอะไรมา อยากบอกว่าจบเศรษฐศาสตร์ โดนปรามาสไม่มีประสบการณ์ จะสู้ได้เหรอ ตนก็อยากให้ไปดูคนที่อยู่สภามาไม่รู้กี่สิบปีไม่เห็นแก้ปัญหาอะไรได้ พรรคก้าวไกลเราไม่เคยเป็นรัฐบาล ไม่เคยถืองบประมาณ เรื่องทุจริตจึงเท่ากับศูนย์ แต่สิ่งที่เราทำมาตลอด 3 ปี คือ ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น ไม่ย้อท้อ ไม่ประนีประนอม จน ส.ส.หลายคนมีคดีติดตัว ถูกปองร้าย ขู่ไปจนถึงครอบครัว แต่เราไม่กลัว เรามีอุดมการณ์ เราต้องการทำให้ประเทศนี้ดีขึ้น และสำหรับพื้นที่นี้

ผมอยู่มา 30 ปี ไม่ต้องเป็น ส.ส.ก็รู้ปัญหาของจตุจักร-หลักสี่ ก็เหมือนที่พี่น้องเจอ เรื่องปากท้อง รายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย ของแพงขึ้นทุกวัน และยิ่งเขตนี้มีผู้สูงอายุเยอะจะทำอย่างไร เราเห็นว่าก็ต้องไปลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน ลดค่าใช้จ่ายก็เท่ากับเพิ่มเงินในกระเป๋า เราจึงเสนอรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า จัดสรรงบประมาณ โดยคำนึงถึงพี่น้องประชาชนเป็นอันดับแรก ถึงเวลาแล้วที่ประเทศนี้จะต้องตอบแทนผู้สูงอายุด้วยเงินที่มากกว่าแค่เดือนละไม่กี่ร้อย

“อีกปัญหาคือเรื่องน้ำท่วม หลายคนบอกจะทำคลอง ทำอุโมงค์ระบายน้ำ ถามว่าต้องใช้งบฯ อีกกี่หมื่นล้าน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนไหม ส.ส.หนึ่งคนได้แต่พูด แต่ไม่เคยหาเงินมาทำได้ ผมอยากทำอะไรที่จับต้องได้ เช่น ลอกท่อก่อนไหม เรามีนักโทษที่พร้อมมาทำงาน มีเบี้ยเลี้ยงให้เขา เรามีเจ้าหน้าที่ กทม. มีอาสาสมัครที่พร้อมทำงานนี้ หรือตรงไหนที่เป็นพื้นที่ต่ำก็นำเครื่องสูบน้ำ กทม.ไปตั้ง หลายหมู่บ้านน้ำท่วมทุกครั้งในหน้าน้ำ เขาบอกว่าแก้ไม่ยากก็แค่เปิดประตูน้ำ แต่ชาวบ้านต้องไปเปิดเองเหรอ และไม่มีวิธีการติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ง่ายกว่านี้เหรอ ด้านการจราจร บอกว่าจะดีขึ้นเพราะมีรถไฟฟ้า แต่ถามว่ารถไฟฟ้าแต่ละระบบกี่บาท จากหลักสี่ไป-กลับสุขุมวิท คิดว่าน่าจะ 200-300 บาท คนฐานะปานกลางจะนั่งไหม แล้วที่บอกจะลดค่ารถไฟฟ้า ถามว่ามีกี่เจ้า แล้วเขาจะคุยกันเหรอ แล้วรัฐก็ยังไม่จ่ายหนี้ด้วยเขาด้วย เขาจะลดเหรอ ดังนั้น ควรที่จะทำรถเมล์ไฟฟ้าวิ่งในระยะทางที่สั้น ราคาถูก เพราะนี่คือสวัสดิการของประชาชน ทำโดยไม่ขาดทุน ไม่ต้องหวังผลกำไร เพราะทุกวันนี้ ขสมก.ก็ขาดทุนไม่รู้เท่าไหร่แล้ว หยุดขาดทุนเท่ากับกำไร” กรุณพล กล่าว

กรุณพล กล่าวอีกว่า ปัญหาในพื้นที่ไม่ใช่ไกลเกินตัว ไม่ใช่เรื่องแก้ได้ยาก เราตั้งใจแก้ด้วยการทำการเมืองใหม่ การเมืองที่ไม่มีการเกี้ยเซียะ ไม่มีการประนีประนอม ถูกคือถูก ผิดคือผิด เพราะถ้าคอยแต่ประนีประนอม ปัญหาก็ไม่หมดไป อย่างแม้แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ หลายคนบอกว่าเราควรร่วมมือกันเพื่อชนะเผด็จการ ตนถามว่า เริ่มด้วยการจับมือใต้โต๊ะ ชนะไปจะไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนอย่างไร ชนะไปเป็นความภูมิใจเหรอที่คนหนึ่งต้องหลบให้ แล้วถ้าอย่างนั้นพรรคก้าวไกลจะตั้งมาทำไม

พรรคก้าวไกลคือพรรคที่ต้องการผลักดันนโยบายและวิธีปฏิบัติที่ต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ เพราะพรรคของเราไม่ประนีประนอม พร้อมพุ่งชนกับทุกปัญหา วันนี้ เรามีความหวังที่มีพรรคฝั่งประชาธิปไตยที่แท้จริงเกิดขึ้น เป็นความหวังที่จะส่งต่อชีวิตที่ดีกว่าลูกหลาน วันที่ 30 มกราคมนี้ ทิ้งความกลัวที่ว่าจะแพ้เผด็จการ ทิ้งความกล้วที่คิดจะเกี้ยเซียะเพราะกลัวจะแพ้ และจงนำความหวังเข้าไปในหน่วยเลือกตั้งและกาเบอร์ 6 ให้เพชร กรุณพล ให้เป็นผู้แทนของท่านในเขตจตุจักร-หลักสี่

ขณะที่ พิธา ที่มาปราศรัยปิดท้าย ระบุว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งของพรรคการเมือง แต่มันคือการเลือกตั้งของประชาชนทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ นี่คือการเลือกตั้งของพ่อแม่พี่น้องสังคมสูงวัย ที่บอกตนว่า 20 บาทต่อวัน 600 บาทต่อเดือนอยู่ไม่ได้แล้ว นี่คือการเลือกตั้งของพี่น้องผู้ประกอบการทุกคน ว่าไปต่อกับรัฐบาลแบบนี้ไม่ไหวแล้ว มันคือการเลือกตั้งของพ่อแม่ที่ลูกยังไปโรงเรียนไม่ได้ ที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาแบบนี้ นี่คือความพิเศษของการเลือกตั้งเลือกตั้งครั้งนี้

สำหรับประชาชนที่ตัดสินใจแล้วว่าจะเลือก เพชร กรุณพล และพรรคก้าวไกล ตนขอขอบคุณและจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง สำหรับแรงสนับสนุนที่ทำให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคอันดับหนึ่งในการได้รับเงินอุดหนุนจาก กกต. 30 ล้านบาท และตนขอสัญญาว่าการเมืองไทยที่เปลี่ยนไปแล้วตลอด 3 ปีที่ผ่านมาจะเปลี่ยนแปลงต่อไปและเราจะสู้อยู่เคียงข้างประชาชนไม่มีวันถอยไปไหนแน่นอน แต่สำหรับพ่อแม่พี่น้องฝ่ายประชาธิปไตยที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ

ตนขอเรียกร้องกับทุกคน ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเลือกด้วยความหวัง ไม่ใช่ด้วยความกลัว ทุกวันนี้ความกลัวมีเยอะเกินไปแล้ว เราต้องเลือกด้วยความหวังว่าพ่อแม่เขาเราจะมีบำนาญถ้วนหน้าอย่างมีศักดิ์ศรี เลือกตั้งอย่างมีความหวังว่าไม่ว่าวิกฤตโควิดจะหนักหนาสักแค่ไหน ไม่ว่าวิกฤติดิจิทัลดิสรัปชั่นจะหนักแค่ไหน แรงงานต้องมีที่ยืนในสังคมไทยและค่าแรงจะต้องขึ้นตามเงินเฟ้อ เราต้องเลือกตั้งอย่างมีความหวัง ว่าระบบยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยยังมีความหวังอยู่

“ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของหัวจิตหัวใจ ไม่ใช่เรื่องคณิตศาสตร์ เราต้องเลือกด้วยความหวังว่าอนาคตของประเทศดีกว่านี้ได้ ไม่ใช่บอกว่าให้เลือกอีกคนหนึ่งเพราะจะทำให้อีกคนหนึ่งแพ้ ทุกคนต้องเลือกด้วยความหวัง ต้องเลือกด้วยอนาคต ว่าวันพรุ่งนี้มันจะดีกว่าวันนี้ได้ ไม่ใช่เลือกเพราะกลัวแพ้ ไม่ใช่เพราะกลัวรัฐประหาร มีรัฐประหารเมื่อไหร่หัวหน้าพรรคกกับเลขาพรรคก้าวไกล พร้อมกับ ส.ส.พรรคก้าวไกลทุกคนจะไปยืนอยู่หน้าสภา มันจะเอาปืนมายิงทุกคนก็ให้มันรู้ไป เขาบอกยุบพรรคเพราะอยู่ไม่เป็น ยุบพรรคแล้วไง ยุบอนาคตใหม่ไปแล้วเป็นอย่างไร ไม่สำเร็จอุดมการณ์ภารกิจยังถูกสานต่อ และสำหรับประชาชนที่ไม่เคยคิดจะเลือกตนและเพชร กรุณพล ผมขอสัญญาว่า อย่างไรก็ยังเป็นผู้แทนของทุกคนเช่นเดิม และผมจะซื้อใจท่านให้ได้ในวันใดวันหนึ่ง จะแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง จนเป็นผู้แทนราษฎรที่แท้จริงได้ในวันหนึ่ง เปลี่ยนความกลัวให้เป็นความหวัง เปลี่ยนคืนที่มืดมนของประชาชนให้มีความหวังขึ้น ซับน้ำตาของประชาชนไปดด้วยกัน” พิธา กล่าว

“เพื่อไทย” ชูเลือกให้ชนะขาด! พา “สุรชาติ” กลับสู่สภาอีกครั้ง

ด้านฟากฝั่งอีกพรรคใหญ่ฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย ก็ได้ขนทัพศึกปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้ายเลือกตั้งซ่อม หลักสี่-จตุจักร คึกคัก เปิดกลยุทธ์เลือกให้ชนะขาด เลือกสุรชาติเพื่อไทยเบอร์ 3 โดยเลือกพบปะประชาชนในสวนสาธารณะเคหะทุ่งสองข้างจนแน่นสนาม

นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 9 หลักสี่ จตุจักร ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 30 มกราคม 2565 พี่น้องประชาชนต้องเลือกนายสุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทย เบอร์ 3 ให้ชนะขาดเท่านั้น ถือเป็นโอกาสที่จะแก้ตัว กู้ศักดิ์์ศรี ที่หายไปจากการเลือกตั้งในปี 2562 เพื่อเลือกคนทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการส่งสัญญาณบอกไปยังรัฐบาลว่าประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลง ต้องการเปลี่ยนรัฐบาล และต้องการบอกรัฐบาลว่าพรรคที่ทำงานรับใช้ประชาชนได้ดีคือพรรคเพื่อไทยที่พร้อมมอบอนาคตที่ดีให้กับประชาชนทุกคน มีบุคลากรผู้มากความสามารถ มีมันสมองที่ดี รวมเข้ากับความรู้ของคนรุ่นใหม่มาผสมผสาน เพื่อสร้างนโยบายที่ดีที่คนทุกรุ่นจะต่อยอดไปได้ เพื่อชีวิตใหม่ของประชาชน

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดจากวิกฤตทางการเมืองที่มีผู้มีอำนาจ ยึดอำนาจไปจากประชาชน แม้แต่คุณสมบัติต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส.ในปี 2562 ยังสามารถกลายเป็นผู้สมัคร ส.ส. จนเข้ามาเป็น ส.ส.ในสภาได้ ซ้ำยังไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ความไม่รับผิดชอบของรัฐบาล ประชาชนจึงไม่ควรให้โอกาสอีก ด้วยการเลือกนายสุรชาติ เบอร์ 3 เท่านั้น

“ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศเจอวิกฤตทั้งปากท้องของแพง ขณะที่นายสุรชาติ ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย นำเสนอนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย มีคนปรารถนาดีนำไปโฆษณาต่ออีก ก็ต้องขอขอบคุณเขา เรื่องนี้ตอกย้ำว่าชาวหลักสี่ จตุจักร ต้องเลือกให้ขนะขาด เลือกสุรชาติเพื่อไทย เบอร์ 3 ให้ถล่มทลายเท่านั้น” นายแพทย์ชลน่านกล่าว

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะมีอายุครบ 8 ปีแล้ว แต่ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนไม่ถูกแก้ไข หากมองกลับไปจะพบว่าในรอบ 20 ปี รัฐบาลจากพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย ทำให้ประชาชนมีเงินเข้ากระเป๋ามากที่สุด แต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ตกต่ำลงทุกด้าน และประเทศเป็นหนี้สูงที่สุด สิ่งที่ได้เคยอภิปรายในสภาว่าพลเอกประยุทธ์เป็นนักกู้แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา ฉายานี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย เพราะยังเดินหน้ากู้ กู้มาแจกอย่างเดียว หาเงินเข้าประเทศไม่เป็น เมื่อเกิดโรคระบาดอย่างโควิด-19 รัฐบาลพลเอกประยุทธ์สั่งปิดกิจการแบบไร้การวางแผน สร้างปัญหาอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด จนทำให้ต้องกู้เงินเพิ่ม ด้วยการขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% จึงขอมอบฉายาใหม่ เป็น “นักกู้แห่งมหาเอเชียบูรพา” ให้กับพลเอกประยุทธ์อีกครั้ง เพราะนับตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรีจากการรัฐประหารจนมาถึงปัจจุบัน ประเทศไทยตกต่ำทุกด้าน ทั้งความเหลื่อมล้ำที่เป็นอันดับ 1 ของโลก แม้แต่ปัญหาพื้นฐานอย่างราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่เกิน 80 บาทก้ไม่ถูกแก้ไข

“ข้าวกระเพราจากจานละ 25ปรับขึ้นเป็น 50 บาท เกิดกรณีแจกกล้วย ส.ส. เกิดปัญหามากมาย อยากให้พี่น้องประชาชนมองสภาพบ้านเรา หลักสี่ จตุจักร มีของดีเป็นนายสุรชาติ คนพื้นที่อยู่กับประชาชนตลอด ของดีไม่ต้องพูดเยอะ ร้านค้าที่ชื่อพรรคเพื่อไทย มีทั้งผู้มากประสบการณ์และคนรุ่นใหม่มาทำงานหลากหลาย ประชาชนจะมีชีวิตที่ดีขึ้นแน่นอน” นายจิรายุกล่าว

นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในการเลือกตั้งปี 2562 นายสุรชาติ ได้คะแนนประมาณ 32,000 เทียบเท่ากับ ส.ส. 1 คน ดังนั้นในวันที่ 30 มกราคม 2565 ขอให้พี่น้องชาวหลักสี่ จตุจักร เลือกนายสุรชาติให้มากขึ้น ให้ถล่มทลาย เพราะรัฐบาลนี้ยิ่งอยู่การคอร์รัปชั่นยิ่งสูงขึ้นและไม่มีทีท่าว่าจะลดลง โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ รายงานคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตปี 2564 ประเทศไทยได้ 35 คะแนน ลดลงจากปีก่อนหน้า และอยู่ลำดับที่ 110 ของโลก จากผลสำรวจ 180 ประเทศ นอกจากนี้พี่น้องประชาชนต้องไม่ลืมว่าอะไรเกิดขึ้นกับประชาชนในระหว่างที่รัฐบาลนี้บริหารประเทศ ทั้งการบริหารจัดการโรคระบาดที่ล้มเหลว วัคซีนขาดแคลน ประชาชนเสียชีวิต พี่น้องครอบครัวต้องจากกัน เราต้องไม่ลืมความสูญเสียทั้งหมด

“พวกเขามีอาวุธ มียุทโธปกรณ์ เราไม่กลัว เพราะเรามีปากกาในมือเป็นอาวุธ ที่จะแสดงถึงสิทธิ์เสียงและศักดิ์ศรีของพี่น้องประชาชน 30 มกราคม 2565 เลือกสุรชาติ เทียนทอง เบอร์ 3 ให้ชนะถล่มทลาย” นางสาวธีรรัตน์กล่าว

นายดนุพร ปุณณกันต์ ตัวแทนเพื่อไทยมหานคร กล่าวว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นนโยบายที่นำเสนอมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน ราคา 15 บาท และสมัยพรรคเพื่อไทย ราคา 20 บาท และทุกครั้งที่เราทำนโยบายเพื่อประชาชนจะถูกปฏิวัติรัฐประหาร แต่เมื่อถูกปฏิวัติ เราไม่เคยล้มบนพื้นหญ้าพื้นปูน แต่ล้มลงบนบ่าบนไหล่ของประชาชนที่พร้อมโอบอุ้มเรากลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งเสมอ พรรคเพื่อไทยมีเจ้าของคือพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ

ทั้งนี้ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ถูกนำมาพูดถึงอีกครั้ง พรรคเพื่อไทยศึกษาค้นคว้า ความต้องการของประชาชนนำมาประมวลออกมาเป็นนโยบายให้พี่น้องประชาชน ย้ำว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทคือนโยบายดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนไปพร้อมๆ กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่ราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพงติดอันดับโลก คิดเป็น 5%-18% ของค่าแรงขั้นต่ำ ขณะที่เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวัน อยู่ที่ 2%-5% ของค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมา คนทั่วไปไม่สามารถใช้บริการได้ และเอกชนต้องขาดทุนเพราะขาดผู้โดยสาร พรรคเพื่อไทยนำเสนอวิธีการคือ การทำให้ค่าโดยสารถูกลงจนคนทั่วไปสามารถขึ้นได้ ลดค่าแรกเข้าเนื่องจากสัญญาสัมปทาน กำหนดเพดานราคาที่เหมาะสมกับรายได้ของประชาชน เมื่อมีคนใช้บริการรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ประชาชนสามารถย้ายไปอยู่นอกเมืองและเข้ามาทำงานในเมืองตอนเช้าได้รวดเร็ว ส่งผลให้เศรษฐกิจกระจายไปตามสถานีรถไฟฟ้าและพื้นที่ใกล้เคียง กระจายความเจริญและเกิดความเติบโตทางเศรษฐกิจของกรุงเทพอย่างก้าวกระโดด ซึ่งพรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นและยืนยันได้ว่าทำได้

“พรรคเพื่อไทยไม่เคยทำนโยบายหลอกประชาชน เพราะตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนถึงพรรคเพื่อไทย นโยบายของเราทำได้และทำจริง ดังนั้น รถไฟ้ฟ้า 20 บาททำได้จริงและไม่ยากเกินฝีมือพรรคเพื่อไทย คนที่ไปร้องเพื่อไทยเพราะกลัวว่าพรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งแน่นอน” นายดนุพร กล่าว

นางสาวจิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า 30 มกราคม 2565 เป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญ ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการอธิบายความหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยนับจากนี้ได้เป็นอย่างดี เป็นจุดตัดการเมืองและเป็นโอกาสสั่งสอนเผด็จการ พิพากษาชีวิตทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์ ผลการเลือกตั้งจะส่งสัญญาณว่า ประเทศไทยจะตกต่ำ ล้าหลัง ย่ำอยู่กับที่ หรือ การเลือกตั้งครั้งนี้ จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เป็นความหวังของประเทศในอนาคต ตลอดระยะเวลากว่า 7 ที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้การทำรัฐประหารเพื่อให้ตัวเองได้เข้าสู่อำนาจ และใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นสะพานสืบทอดอำนาจ ให้ตัวเองได้อยู่ในอำนาจต่อไป จึงปฏิเสธการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับตลอดมา ไม่สนับสนุนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทำลายความหวังของเยาวชนซึ่งเป็นพลังแห่งอนาคตและทรัพยากรสำคัญของประเทศ พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ทำลายอนาคต ทำลายความหวังอันงดงามของเยาวชนคนหนุ่มสาวอย่างแท้จริง จึงขอให้พี่น้องประชาชน คนรุ่นใหม่ ใช้การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นวันเริ่มต้น คือการสั่งสอนเผด็จการ พิพากษาชีวิตทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์ 30 มกราคมนี้ เป็นจุดเริ่มต้นการส่งมอบอนาคตที่ดีให้กับลูกหลาน

นางสาวจิราพร กล่าวว่า ตั้งแต่ทำการรัฐประหารเข้ามาเป็นผู้นำประเทศ พลเอกประยุทธ์ อ้างว่าเข้ามาเพื่อปฏิรูปประเทศ ปราบการทุจริตคอรัปชั่น คืนความสุขให้กับคนไทย แต่ยิ่งปฏิรูปคนไทยยิ่งจน เกิดความเหลื่อมล้ำ เศรษฐกิจยิ่งพัง การศึกษาไทยยิ่งถอยหลัง การเมืองยิ่งแตกแยก นอกจากการปฏิรูปแล้ว ยังมีการประกาศวาระแห่งชาติจำนวนมาก แต่ทำไม่ได้และล้มเหลวทุกด้าน รัฐบาลนี้คิดอย่างเดียวคือ “กู้มาแจก กู้มากิน กู้มาใช้หนี้” เป็นรัฐบาลนักกู้เงินมือเติบ กู้มาแล้วใช้ไม่เป็นแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ไม่มีโครงการเป็นชิ้นเป็นอัน ภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีสวัสดิการถ้วนหน้า มีแต่หนี้ถ้วนหน้า เพราะได้ก่อหนี้สาธารณะทะลุ 16 ล้านล้านบาท หารเฉลี่ยต่อหัวประชากรมีหนี้คนละ 250,000 บาท ตอนหาเสียงปี 2562 มีพรรคการเมืองหนึ่ง ประกาศว่าถ้าได้เป็นรัฐบาล คนที่จบปริญญาตรี จะมีเงินเดือนขั้นต่ำ 20,000 บาท จบอาชีวะ จะมีเงินเดือน 18,000 บาท ค่าแรงวันละ 400-425 บาท แต่เมื่อเป็นรัฐบาล ทำไม่ได้แม้แต่นโยบายเดียว นักเรียน นิสิต นักศึกษา เรียนจบออกมา ไม่มีงาน ไม่มีเงินเดือนขั้นต่ำ มีแต่หนี้ก้อนโตรออยู่ พรรคอื่นทำไม่ได้ จึงคิดว่าคนอื่นจะทำไม่เป็น กล่าวหาว่าโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายไม่มีวันเป็นไปได้ เป็นการหาเสียงเกินจริง แต่นโยบายที่รัฐบาลเคยหาเสียงไว้ทำไม่ได้ ต้องให้ประชาชนต้องไปฟ้องร้องว่าหาเสียงไว้เกินจริงหรือไม่

ที่ผ่านมา ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนมาเป็นพรรคเพื่อไทย หลายนโยบายถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นนโยบายเพ้อฝัน ไม่มีวันทำได้ แต่โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค OTOP กองทุนหมู่บ้าน ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท เราทำมาแล้ว ทำได้จริง พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันทางการเมือง มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างมั่นคง เป็นพรรคการเมืองแนวหน้าที่ยืนหยัดต่อสู้ คัดค้านระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ แม้ถูกยุบพรรค ถูกยึดทรัพย์ ถูกจับกุมคุมขัง บางคนต้องหลี้ภัยทางการเมือง แต่ทั้งหมดคือสายธารการต่อสู้ ที่ไม่ยอมจำนนและก้มหัวให้เผด็จการ

“ใช้ปากกาในมือท่านช่วยกันร่างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ พอแล้วกับรัฐบาลที่สิ้นสภาพทำงานไม่เป็น แม้ฝ่ามือในสภา ไม่อาจฝ่าศรัทธาประชาชน 30 มกรา กาเบอร์ 3 สุรชาติ เทียนทอง ร่วมกันปักธงประชาธิปไตยไว้ที่เขตหลักสี่-จตุจักร ให้ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นการเบ่งบานของประชาธิปไตยไปทั้งประเทศ เงินไม่สามารถซื้อศักดิ์ศรีพี่น้องประชาชนได้ บอกไปยังพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าเราพอแล้วกับรัฐบาลที่สิ้นสภาพ ช่วยกันเพิ่มอีกหนึ่งเสียงเติมกำลังพรรคเพื่อไทย เสริมกำลังฝ่ายค้าน เสริมทัพฝ่ายประชาธิปไตยในการเข้าไปต่อสู้ ตรวจสอบ ส่งสัญญาณว่าประเทศเรากำลังจะส่งต่อให้ลูกหลานในอนาคตจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร” นางสาวจิราพร กล่าว

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้จำเป็นต้องเลือก สุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 9 หลักสี่ จตุจักร เบอร์ 3 พรรคเพื่อไทย เพื่อต่อลมหายใจประชาธิปไตย เอาพรรคเพื่อไทยมาต่อสู้กับเผด็จการ และเพื่อบอกว่าพรรคเพื่อไทยคือพรรคเดียวที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ทั้งนี้ทั่วโลกมีประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แม้ล้มลุกคลุกคลานแต่สุดท้ายประชาธิปไตยชนะทุกประเทศ ประเทศไทยวันนี้ประชาธิปไตยยังชนะไม่สมบูรณ์ การลงคะแนนเลือกตั้งในวันที่ 30 มกราคม 2565 เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แม้ที่ผ่านมาพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนมาจนถึงพรรคเพื่อไทย โดนรัฐประหารมาแล้ว 2 ครั้ง ถูกยุบพรรคมาแล้ว 2 ครั้ง ชนะเลือกตั้งแล้วแต่ถูกหาว่าเป็นการเลือกตั้งโมฆะ 2 รอบ ผู้นำของพรรคถูกกลั่นแกล้ง แต่ไม่เคยยอมแพ้ สายเลือดของพรรคการเมืองนี้จึงยังยืนอยู่ที่นี่ รัฐบาลที่ยึดอำนาจมาได้พยายามจะฆ่าพรรคเพื่อไทยให้ตาย เพื่อให้ประชาธิปไตยอ่อนแรงและสูญพันธุ์ เผด็จการจะได้ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินนี้ แต่พวกเราไม่หนีและยังสู้ทุกรูปแบบ แล้ววันนี้จึงมาถึงจุดหนึ่งที่พวกเราต้องมาสู้ คือ การเลือกตั้งในวันที่ 30 มกราคม

นายสรวงศ์ เทียนทอง ผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต9 หลักสี่ จตุจักร กล่าวว่า ตลอดเวลา 17 ปี ของนายสุรชาติ ไม่ว่าจะได้เป็น ส.ส. หรือไม่ได้เป็น นายสุรชาติใช้เวลาส่วนใหญ่กับพี่น้องประชาชนตลอดเวลา พรรคเพื่อไทยเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจของนายสุรชาติ จึงภูมิใจเสนอนายสุรชาติให้พี่น้องได้เลือกตั้งอีกครั้ง

นายวรวงศ์ กล่าวว่า การเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งให้น้องชาย มีโอกาสเดินตามน้องไปทุกที่ ได้เห็นความผูกพันที่พี่น้องประชาชนมีให้กับนายสุรชาติ ซึ่งไม่ได้อยู่กับพี่น้องแค่ในชุมชนยามทุกข์สุข แต่ในยามวิกฤต ปี 2557 นายสุรชาติ ออกไปห้ามปรามพี่น้องประชาชนในพื้นที่ไม่ให้ไปปะทะกับกลุ่มต่อต้านการเลือกตั้งจนมีผู้บาดเจ็บ คือคุณลุงอะแกว แซ่ลิ้ว ซึ่งช่วยกันดูแลจนนาทีสุดท้าย ต่อมาในปี 2563 เมื่อกลุ่มนักเรียนนักศึกษาชุมนุม ก็มีภาพชายสองคนไปยืนขอร้องเจ้าหน้าที่รัฐอย่าใช้ความรุนแรงกับประชาชน หนึ่งในนั้นคือน้องชายผม ซึ่งมีสำนึกประชาธิปไตยที่อยู่ในหัวใจที่แท้จริง

“ในฐานะพี่ชายที่ดูแลน้องชายคนนี้ ตั้งแต่ตอนที่ไปเรียนเมืองนอก ผมก็ทำหน้าที่เหมือนเป็นพ่อดูแลเขาที่เมืองนอก เห็นเขาเติบโตมาจนถึงวันนี้ เป็นที่รักของพี่ป้าน้าอาชาวหลักสี่ จตุจักร พี่ชายคนนี้เห็นความตั้งใจของน้องชายที่ตั้งใจดูแลพี่น้องเต็มที่ ดูแลอย่างญาติมิตรและครอบครัวอย่างอบอุ่น ในฐานะพี่ชายคนนี้ มั่นใจว่าพี่น้องชาวหลักสี่จตุจักร จะไม่ผิดหวังกับน้องชายของผมคนนี้ เลือกเขาไว้ใช้ เลือกเขาไว้ทำงานในฐานะผู้แทนราษฎรตัวจริง” นายสรวงศ์ กล่าว

ปิดท้ายปราศรัยเพื่อไทย ด้วยนายสุรชาติ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เบอร์ 3 เขตเลือกตั้งที่ 9 หลักสี่-จตุจักร พรรคเพื่อไทย โดยนายสุรชาติ กล่าวว่า การเป็น ส.ส.เป็นความฝันเดียว ซึ่งที่ผ่านมาพี่น้องประชาชนเคยช่วยกันทำให้ฝันนั้นเป็นจริงมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่วันนี้่มีฝันที่ยิ่งใหญ่กว่า คือ อยากเป็นผู้แทนราษฎร ที่จะทำงานรับใช้ประชาชน เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนดีขึ้น แต่เรื่องนี้ไม่สามารถทำคนเดียวได้ พี่น้องประชาชนและพรรคเพื่อไทยหากร่วมมือกันจะทำได้

นายสุรชาติ กล่าวถึงการออกมาพูดในระหว่างการหาเสียงเรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้นเพราะเมื่อครั้งเป็น ส.ส. ปี 2554 ในช่วง 2 ปีกว่าๆ นั้นได้มีส่วนในการผลักดันโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง โดยมีโอกาสเข้าพบอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อขอให้พิจารณาอนุมัติสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง ในยุคที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลให้ได้ เพราะมีความสำคัญกับพี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพฯ 3-4 เขตปกครอง รวมไปถึงพี่น้องในปริมณฑลก็จะได้ใช้ประโยชน์ และสุดท้ายรถไฟฟ้าสายสีแดง ก็ได้รับการอนุมัติให้ก่อสร้างในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่นำโดยอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์

“วันนี้ที่ต้องพูดถึงราคาค่ารถไฟฟ้า เพราะรถไฟฟ้าสายสีแดง พี่น้องประชาชนในพื้นที่หลักสี่ส่วนใหญ่แทบจะไม่ได้ใช้ เนื่องจากราคาค่าโดยสารยังคงสูงเกินไป เราสร้างรถไฟฟ้ามาเพื่อให้ประชาชนทุกคนได้ใช้ ไม่ได้สร้างเอาไว้เป็นอนุสาวรีย์หรือให้เฉพาะคนที่มีเงินได้ใช้” ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เบอร์ 3 พรรคเพื่อไทย กล่าวพร้อมย้ำว่า ใครก็ตามที่พยายามร้องเรียนเรื่องนี้หรือพยายามดึงให้ผมเข้าสู้ความขัดแย้งนั้นคงไม่สามารถทำตามเป้าหมายได้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา 17 ปีพี่น้องประชาชน รับรู้ดีว่าการทำงานทั้งหมดเป็นการทำเพื่อประชาชนและการหาเสียงครั้งนี้เพื่อกลับเข้าสภาไปทำงานรับใช้ประชาชน

การเมืองของผมคือการให้เกียรติประชาชน นโยบายก็ต้องเป็นนโยบายที่ให้เกียรติประชาชน สำหรับผมนโยบายที่ให้เกียรติประชาชนเช่นนั้น คือ นโยบาย SML ที่ให้พี่น้องประชาชนได้มีอำนาจในการใช้งบประมาณและตัดสินใจแก้ปัญหาในชุมชนด้วยตัวเอง นี่คือจุดเริ่มต้นของประชาธิปไตยและการให้เกียรติประชาชน แล้วขณะนั้นผมได้ใช้ความเป็นผู้แทนราษฎรเข้าไปร่วมประสานงานโครงการนี้ ซึ่งเขตหลักสี่เป็นพื้นที่ที่ทำโครงการ SML ได้มากที่สุดในกรุงเทพฯ

อีกเรื่องที่พูดเสมอคือการปฏิรูประบบราชการ ผมใช้เวลา 17 ปีเป็นผู้รับใช้ประชาชน ทุกครั้งที่ผมเห็นนักการเมืองหรือข้าราชการทำตัวเหนือประชาชน ผมจะเดินไปบอกเสมอว่าไม่มีใครอยู่เหนือประชาชนได้ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นจะไม่ใช่การทำลายล้าง แต่จะเปลี่ยนแปลงด้วยทัศนคติที่ดี ผมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยที่เคยปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่มาแล้วซึ่งไม่เพียงทำให้ประชาชนมีความสุขแต่พี่น้องข้าราชการก็มีความสุขมากขึ้นด้วยนั้นเราจะทำอีกครั้งหนึ่ง

17 ปีที่ผ่านมาผมล้มลุกคลุกคลาน ผิดหวังมากกว่าสมหวัง เมื่อ 3 ปีที่แล้ววันที่ผมแพ้การเลือกตั้ง วันต่อมาผมขึ้นรถแห่ขอบคุณทุกคะแนนเสียงของพี่ป้าน้าอาที่มอบให้ วันนั้นเป็นวันที่ผมต้องเสียน้ำตา เพราะไม่ว่าผมจะไปจุดไหน ก็จะมีพี่ป้าน้าอามาร้องไห้กับความพ่ายแพ้ของผม แต่นั้นคือสิ่งที่ทำให้ผมมีกำลังใจในการออกไปหาพี่ป้าน้าอาทุกวัน และบอกตัวเองว่าวันนี้จะแพ้ไม่ได้อีกแล้ว

“ผมจะต้องชนะเพื่อทวงศักดิ์ศรีให้พี่ป้าน้าอาและพี่น้องคนหลักสี่ คนจตุจักรทุกคน วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม นี้เราจะชนะไปด้วยกัน แล้วผมจะแบกเอาศักดิ์ศรีคนหลักสี่และคนจตุจักรเข้าสภา” นายสุรชาติ กล่าว

พลังประชารัฐ เลือกปราศรัยในห้องแอร์ “ประวิตร” ชวนทุกคนเลือกเบอร์ 7

ที่วิภาวดี พาเลซ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลงพื้นที่พบปะผู้สูงอายุ ช่วยนางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 9 (หลักสี่-จตุจักร) หาเสียงโค้งสุดท้าย โดยมีแกนนำ อาทิ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค นายจักรพันธ์ พรนิมิต หัวหน้าภาค กทม. นายสิระ เจนจาคะ และ ส.ส.กทม.พรรค พปชร. โดยก่อนที่จะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้สูงอายุ นายวิรัชได้ซักซ้อมขั้นตอนการลงคะแนนและเรื่องที่ต้องระวังไม่ให้เกิดการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง

นายสิระกล่าวกับผู้สูงอายุช่วงหนึ่ง ขอฝากให้ประชาชนช่วยเลือกนางสรัลรัศมิ์ เพื่อสานต่อการทำงาน หากรักสิระขอให้เลือกมาดามหลีไปเป็นตัวแทน

ด้าน พล.อ.ประวิตรได้กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ตนมาในวันนี้มาด้วยความรักที่อยากจะอยู่ร่วมกับพวกท่าน และยินดีมากที่ได้พบกับผู้สูงอายุใกล้เคียงกันกับตน รัฐบาลพยายามดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งโครงการผู้สูงอายุมีทั่วไปและสังคมผู้สูงอายุมีมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลมีระบบสาธารณสุขที่ดีขึ้นจึงทำให้อายุยืน เพื่อประชาชนทุกกลุ่มทุกอาชีพทุกอายุให้อยู่ดีกินดีขึ้น นี่เป็นนโยบายของพรรค และจะสนับสนุนโครงการผู้สูงอายุเป็นอันดับแรก เนื่องจากเราถือว่าประชาชนต้องอยู่อย่างเป็นสุขในบั้นปลายของขีวิต ซึ่งรัฐบาลก็ได้มีการพัฒนาทั้งการปรับเงินผู้สูงอายุ

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ผู้สูงอายุมีความสำคัญต่อประเทศอย่างมาก และตนฝากผู้สูงอายุทั้งหมดให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขสันติ อย่างที่ไม่มีความขัดแย้ง ซึ่งประเทศไทยต้องเป็นหนึ่งเดียวและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีการพัฒนามากมาย และดำเนินการไปทุกเรื่องที่ผ่านมา ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการให้ประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างสันติและหนึ่งเดียวกัน มีอะไรเดือดร้อนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ฉะนั้นพรรค พปชร.พร้อมเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไป เรื่องของความขัดแย้งในพรรค พปชร.ไม่มี คิดกันไปเอง ตนและรัฐบาลอยู่ร่วมกันอย่างสันติและไม่มีความขัดแย้งกัน ช่วยเลือกเบอร์ 7 พรรค พปชร.ใจถึงพึ่งได้ และฝากไปบอกลูกหลานและญาติด้วยว่าให้เลือกเบอร์ 7 พปชร.ทำทุกอย่างเพื่อประชาชน เพื่อให้ได้อยู่ดีกินดี และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผู้สูงอายุมั่นใจได้ว่ารัฐบาลจะดูแลจนเสียชีวิต ฉะนั้นถ้าอยากให้รัฐบาลดูแลเลือกเบอร์ 7 เลือกพรรค พปชร.

นางสรัลรัศมิ์ กล่าวถึงความพร้อมหลัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวให้กำลังใจว่า ดูจากสีหน้า พล.อ.ประวิตรแล้วท่านก็คงมั่นใจว่าเราจะคว้าชัยในครั้งนี้ได้ และทุกคนก็ได้ให้กำลังใจตนเป็นอย่างดี ขณะที่โครงสร้างประชากรผู้สูงอายุในเขตหลักสี่-จตุจักร มีจำนวน 1 ใน 3 และเราเน้นดูแลผู้สูงอายุเป็นหลักมาโดยตลอด คิดว่าผู้สูงอายุทั้งหลายจะเทใจให้กับเรา และชักจูงลูกหลานให้เทคะแนนให้เราด้วย เมื่อถามว่าได้ยืนยันกับ พล.อ.ประวิตรใช่หรือไม่ว่าจะคว้าชัย 100% นางสรัลรัศมิ์กล่าวว่า “ใช่”

เมื่อถามว่ากระแสของทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นอย่างไรบ้าง นางสรัลรัศมิ์กล่าวว่า ในส่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่งจะได้ข่าวดีมาในเรื่องการฟื้นสัมพันธ์กับประเทศซาอุดีอาระเบีย ถือเป็นข่าวดีของประเทศไทยที่จะได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนแรงงานซึ่งกัน รวมถึงเรื่องของการท่องเที่ยว เพราะประเทศซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่ร่ำรวยมาก เป็นประเทศค้าพลังงาน ตนคิดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาให้กับประเทศไทยได้อีกเยอะ ก็ถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงของ พล.อ.ประยุทธ์ และคิดว่าสิ่งนี้จะทำให้คะแนนไหลมาทางรัฐบาล

“ไทยภักดี” ปราศรัยใหญ่ เลือกเบอร์ 1 ทำบุญประเทศ หนุน “ประยุทธ์” นั่งต่อ

ส่วนที่ลานกีฬาชุมชนเสนานิคม 2 แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ พรรคไทยภักดี เปิดปราศรัยใหญ่ เปิดปราศรัยใหญ่ “ไทยภักดี Special” นับ 1 จตุจักร-หลักสี่ เติมคนดีเข้าสภา นำโดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี พร้อมด้วยนายพันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชต์ ผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขต9 เขตหลักสี่-จตุจักร ของพรรคไทยภักดี นอกจากนั้นยังมี พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช เลขาธิการพรรค พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา “อุ๊” หฤทัย ม่วงบุญศรี ผู้สนับสนุนพรรคไทยภักดี และนายถาวร เสนเนียม อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมด้วย

โดย นพ.วรงค์ปราศรัยว่า นี่เป็นโค้งสุดท้ายที่ชี้เป็นชี้ตายอนาคตการเมืองของประเทศ นี่คือการต่อสู้ของประชาชนกับกลุ่มการเมืองขนาดใหญ่ เราจึงต้องรบแบบจรยุทธ์รบในทุกรูปแบบ ซึ่งพรรคไทยภักดีทำเต็มที่ จึงอยู่ที่ประชาชนจะไว้วางใจหรือไม่ เรารู้ตัวเราดีการต่อสู้ของพรรคไทยภักดีกับพรรคใหญ่ไม่ต่างจากสงครามเวียดนาม เราเป็นพรรคการเมืองพรรคแรกที่ปราศรัยทุกวันจนประชาชนบอกกับตนว่าอยู่มา 70 ปี ไม่เคยมีพรรคการเมืองมาปราศรัยในชุมชน และไม่เคยเจอพรรคการเมืองพรรคไหนที่ปราศรัยได้ทุกที่ตั้งแต่กองขยะ ใต้ทางด่วน ใต้สะพานลอยและชุมชนแออัด และการเลือกตั้งครั้งนี้คือการเลือกตั้งซ่อม ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในการกำหนดนโยบาย ที่ต้องพูดแบบนี้ เนื่องจากมีพรรคการเมืองบางพรรคหาเสียงแบบบิดเบือนด้วยการกำหนดนโยบายว่าจะทำโน้น ทำนี่ เช่น จะทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าเหลือ 20 บาท ซึ่งในความเป็นจริงทำไม่ได้ ขนาดพรรคที่มี ส.ส.เป็น 100 คน ยังทำไม่ได้ จะเอาอีก 1 เสียงเข้าไปมันเป็นไปไม่ได้ เข้าข่ายโกหกหลอกลวงประชาชน

นพ.วรงค์กล่าวว่า วันนี้ตนอยากบอกชาวเขตจตุจักรและหลักสี่ว่าจะเลือก ส.ส.ไปเป็นฝ่ายค้าน หรือจะเลือก ส.ส.เข้ามาสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ขอย้ำว่าพรรคไทยภักดี 1 เสียงจะเป็น 1 เสียงคุณภาพและเป็นพันธมิตรกลับนายกรัฐมนตรี เราตรงไปตรงมาไม่มีกั๊ก ทั้งนี้ช่วงนี้เป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งซ่อมมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์โจมตีว่าพรรคเราเกาะกระแส พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่าเราไม่ได้เกาะกระแส แต่เรายืนข้าง พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค.2563 แต่มีพรรคการเมืองบางพรรคที่เพิ่งมาเกาะกระแส แต่พรรคไทยภักดีไม่ใช่

“มีการกล่าวหาว่าพรรคไทยภักดีโหนเจ้า เราเคยได้ยินข้อกล่าวหานี้มานาน แต่ส่วนใหญ่เป็นข้อกล่าวหาของฝ่ายตรงข้ามที่ชู 3 นิ้ว ผมเข้าใจและไม่ว่า เพราะต้องการดิสเครดิตพวกผม แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อการกล่าวหาเรื่องนี้เกิดจากกลุ่มการเมืองที่อ้างว่าตนเองเป็นพวกสลิ่ม หากเป็นกลุ่มสลิ่มจะไม่มีการให้ร้ายกัน ขอย้ำว่าประเทศไทยจะต้องมีในหลวง และสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นพรรคการเมืองที่พยายามกล่าวหาเราในช่วงโค้งสุดท้ายเชื่อไม่ได้ และพรรคไทยภักดีมาแรงในช่วงโค้งสุดท้ายมาแรงผิดปกติ แต่เราจะแผ่วเมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา เพราะเงินลงเยอะมาก ขอบอกกับประชาชนที่รับเงินไปแล้วข้อมูลที่เราตรวจสอบมี 500 บาท 1,000 บาท และ 1,500 บาท เงินพวกนี้ที่รับไปแล้ว ไม่ต้องไปเลือก ให้เลือกเบอร์ 1 ถือว่าทำบุญให้ประเทศ” นพ.วรงค์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการปราศรัยช่วงหนึ่ง นพ.วรงค์กล่าวถึงเรื่องดาวเทียมไทยคม ถึงกับร้องไห้เสียงสะอื้น พร้อมกับกล่าวว่า สิ่งที่ตนดีใจและภูมิใจกับ พล.อ.ประยุทธ์ รับลูกแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ และต่อสู้กันหลายรอบ จนถึงขณะนี้ดาวเทียมไทยคมดวง 4 และดวง 6 กำลังจะเป็นของประชาชนอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตาม รอบนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ก็ขอคะแนนจากแฟนคลับพรรคประชาธิปัตย์ ให้เลือกพรรคไทยภักดีด้วย

ด้านเว็บไซต์ momentum ได้บันทึกคำปราศรัยช่วงหนึ่งของ อุ๊ หฤทัย ที่กล่าวโจมตีฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยว่า หากเป็นไปได้ ประเทศไทยมีงบประมาณ อุ๊อยากขอให้จัดเครื่องบินเช่าเหมาลำ แบบ One Way Ticket ไปไม่ต้องกลับมา ส่งคนบางกลุ่มที่ไม่รัก ไม่ศรัทธา ไม่อยากอยู่ประเทศไทย ส่งเขาไปอยู่ที่เกาะสักแห่งหนึ่ง แล้วให้ ‘ไอ้ตี๋’ เป็นผู้นำ สร้างประเทศ สร้างถนนเอา ไม่ต้องมีประเทศ ไม่ต้องมีทหาร และไม่ต้องมีกฎหมายคุ้มครองประมุข แบบนี้เอาไหม

“พรรคกล้า” จัดปราศรัยส่งท้าย “อรรถวิชช์” เผยรับเสี่ยงแต่คุ้ม ขอรวมพลังเสียงไม่แตกช่วยหนุน

ที่เคหะท่าทราย หลักสี่ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 9 หลักสี่-จตุจักร พรรคกล้า กล่าวก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ย้ำว่าวันนี้ธีมที่ใช้คือการรวมพลัง มาช่วยเรื่องการเมืองคุณภาพ เพราะที่ผ่านเป็นการเมืองลักษณะแบ่งแยกซ้ายขวา เรากำลังทำการเมืองแนวใหม่ที่จะแข่งขันกันถึงเป้าหมาย ว่าจะทำอะไรให้ประเทศชาติบ้านเมืองบ้าง ซึ่งในการเดินพบปะประชาชนยอมรับว่ามีการแบ่งแยกกันอยู่ แต่ขณะนี้พบว่ากระแสตอบรับจากผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง และต่างพรรคการเมือง เช่น พรรคประชาธิปัตย์ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ก็ได้โทรศัพท์มาให้กำลังใจ และพร้อมช่วยกันสนับสนุน

นายอรรถวิชช์กล่าวว่า ในวันนี้ประชาชนมาร่วมฟังการปราศรัยทะลุ 2,000 คน ถือเป็นการปราศรัยที่ใหญ่มาก แต่ก็พยายามรักษามาตรการป้องกันโควิด-19 แต่ยอมรับว่าโค้งสุดท้ายก็มีความกังวลใจเพราะกลัวเสียงแตก ต้องยอมรับว่าขณะนี้ผู้สมัครที่ทำงานพื้นที่มายาวนานมีแค่สองคน คือนายสุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย และตนเอง หากเสียงแตกเกินไปก็จะเกิดปัญหาอาจไปได้ไม่ถึงเส้นชัย วันนี้จึงใช้แนวคิดรวมพลังทุกภาคส่วนมาช่วยกัน

ส่วนผลโพลสำรวจคะแนนความนิยมการเลือกตั้งซ่อมหลักสี่-จตุจักร ได้เป็นอันดับสองนั้น นายอรรถวิชช์กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ค่อยเชื่อโพล เนื่องจากลงเลือกตั้งมา 3 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ซึ่งใน 2 ครั้งแรกโพลบอกว่าแพ้ แต่กลับชนะ ส่วนครั้งที่ 3 โพลบอกชนะ แต่กลับแพ้ ตนจึงขอบอกว่าสนามกรุงเทพมหานครโพลหักปากกาเซียนทุกคน ต้องดูเรื่องจริงหน้างานดีกว่า ยืนยันว่าทำการเมืองแนวคุณภาพ การหาเสียงใช้คำพูดอาจจะไม่ได้สะใจ แต่เป็นการเมืองที่ควรจะเป็น เนื่องจากอยู่ในบรรยากาศที่แบ่งแยกมานานแล้ว และเชื่อว่าพรรคการเมืองที่เกิดใหม่ก็ยึดแนวเศรษฐกิจ แนวคุณภาพ แบบที่พรรคกล้าทำ แต่ยังไม่มีพรรคใดส่งผู้สมัครลงสนาม เชื่อว่าบริบทการเมืองเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้อยู่กันด้วยความเกลียดชังหรือความกลัว แต่วัดกันด้วยคุณภาพ จะทำให้การเมืองไทยเปลี่ยนโฉมไป

นายอรรถวิชช์ยังกล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่จะเกิดขึ้น ว่าหากไม่มีการทุจริต ตนเองจะยกมือให้กับ พล.อ.ประยุทธ์แน่นอน รวมถึงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีด้วย เพราะส่วนตัวมองว่าหากเปลี่ยนม้ากลางศึก ไม่ตอบโจทย์กับการแก้ไขปัญหา ขณะนี้การเมืองไม่ได้วัดด้วยปริมาณแต่วัดด้วยคุณภาพ และการเมืองในขณะนี้ถึงเสี่ยงแต่คุ้ม เพราะเชื่อว่าการเมืองเปลี่ยนได้ และไม่กังวลถึงกรณีการฟ้องกันไปมาของผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้

ขณะที่นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการ คตส.ที่มีบทบาทหลังการรัฐประหาร 2549 ขึ้นปราศรัยว่า เลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ต้องได้คนที่มีคุณภาพเข้าไปทำงานในสภา ซึ่งนายอรรถวิชช์ตนเองรู้จัก เป็นคนที่มีผลงานใช้ได้ ความประพฤติดี ความคิดความอ่านดี มีคุณภาพ แต่คนดีจะไม่มีประโยชน์ถ้าไม่อยู่พรรคการเมืองที่มีคุณภาพ ซึ่งพรรคกล้าเป็นพรรคที่มีคุณภาพ

นายแก้วสรรกล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้แม้จะเป็นการเลือกตั้งซ่อม จากผลกระทบกว้างไกลมากสำหรับพรรคกล้า การเลือกตั้งครั้งหน้ากำลังจะมาถึงอย่างแน่นอน เพราะการเมืองปัจจุบันไปไม่รอด การเมืองไทยจะต้องขึ้นเล่มใหม่ พรรคกล้าต้องเป็นกองเกวียนที่เดินทางไกล คำตอบการเลือกตั้งครั้งนี้การเมืองจึงต้องมีคุณภาพ ต้องการคนกล้าของหลักสี่-จตุจักร มารวมพลังการเมืองเพื่อเดินไปข้างหน้า กล้าต่อเงิน กล้าต่อระบบพรรคพวก กล้าพาบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า อย่าเลือกตั้งเพราะความโกรธ ความโลภ ขอย้ำว่า ที่ตนมาขึ้นเวทีเพราะสนับสนุนบ้านเมืองให้เดินไปข้างหน้าด้วยสติปัญญา

จากนั้น นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวปราศรัยว่า พรรคกล้ายึดมั่นชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และไม่มีวันสนับสนุนการใช้สถาบันมาเป็นการเมือง เราไม่เห็นด้วย และเห็นว่าไม่ถูกต้องที่บางพรรคการเมืองนำสถาบันมาวัดคะแนนนิยมทางการเมืองว่าใครรักหรือไม่รัก ทั้งนี้ ยอมรับว่าขบวนการล้มสถาบันมีอยู่จริง เราต้องต่อสู้และยึดมั่นปกป้องสถาบันให้มาก หยุดเติมฟืนลงในกองไฟ เพราะประเทศชาติเสียโอกาสและเสียหาย ประชาชนเดือดร้อนแตกแยกมามากพอแล้ว ควรหันมาหาทางช่วยให้ประชาชนอยู่ดีกินดีและประเทศชาติพัฒนาดีกว่า

นายกรณ์กล่าวว่า แม้สนามเลือกตั้งซ่อมหลักสี่-จตุจักรครั้งนี้จะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลทั้งหมด แต่ถือเป็นก้าวสำคัญและก้าวแรกของการเมืองที่มีคุณภาพเข้าไปในสภา และพรรคกล้ามีเจตนารมณ์ตั้งใจจะเข้าไปในสภาเพื่อเป็นฝ่ายรัฐบาล พร้อมสนับสนุน ทุกเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐบาลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทำให้ประเทศชาติก้าวหน้าพัฒนา เราพร้อมสนับสนุน

“ยอมรับพรรคกล้าเป็นพรรคใหม่ หลายคนไม่รู้จักเราดีนัก แต่อยากขอให้ศรัทธาในตัวพรรค แต่พรรคอื่นมีพรรคไหนที่ศรัทธาได้บ้าง เพราะยังไม่ทันไรก็บอกว่าถ้าได้รับเลือก ชาวบ้านจะได้ขึ้นรถไฟฟ้า 20 บาท ซึ่งเป็นการหาเสียงตั้งแต่ปี 2554 ตอนนั้นเป็นรัฐบาลทำไมไม่ทำ ส่วนพรรครัฐบาลหาเสียงไว้ตั้งแต่ปี 2562 วันนี้ไม่ทำสักเรื่อง ดังนั้น ถ้ายังไม่มั่นใจพรรคกล้าขอให้มั่นใจนายอรรถวิชช์ ทั้งนี้ แม้จะเสี่ยงกับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ก็ยอมรับกับผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้ามีการทุจริตเราไม่ยอม” นายกรณ์กล่าว